ตอนที่ 2913 เรือเหาะชางเล่ย
“จำนวนกำลังพลหลายสิบล้านเลยงั้นหรอ ?!”
ซือเฟิงที่ได้รับข้อมูลที่รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดมาจากฟางฉีหานอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมาก
ในชีวิตที่แล้วของเขานั้น เขาก็เคยสัมผัสกับการต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆมาบ้าง โดยจำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายที่เข้าต่อสู้นั้นจะอยู่แค่ในระดับหลักล้านเท่านั้น และแค่นี้มันก็จัดว่าเป็นสงครามที่นองเลือดอย่างถึงขีดสุดแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ทุกตารางนิ้วที่ตัวเองต้องการ
และหากอาณาจักรหนึ่งต้องการจะเลื่อนขั้นเป็นจักรวรรดินั้น วิธีหนึ่งที่จะสามารถทำได้ก็คือการขยายอาณาเขตของตนผ่านสงครามนั่นเอง ….
ขณะที่การต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิกับจักรวรรดินั้น จำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายที่เข้าต่อสู้กันอาจมีได้ถึงสิบล้านคนหรือเกินนิดหน่อย ….
แต่ในปัจจุบันนี่มันเป็นแค่หนึ่งในกองทัพหลายสิบกองทัพของผู้รุกรานจากโลกอื่นเท่านั้น มันกับมีกำลังพลหลายสิบล้านแล้ว ซึ่งแทบจะเทียบเท่า หรือเหนือกว่าความแข็งแกร่งของสองจักรวรรดิรวมกันเลย
“ด้วยความเร็วในการเคลื่อนทัพของกองทัพนี้ คาดว่าอีกราวสองชั่วโมงพวกเขาน่าจะไปถึงที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กบริเวณชายแดนของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ โดยตอนนี้ฉันอยู่ระหว่างพากองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามแปดแสนคน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ห้าสิบคนเดินทางไปที่นั่น ซึ่งจากที่ฉันคาดการณ์ ฉันน่าจะนำกองทัพของเราไปถึงได้ในเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเล็กน้อย”
“สำหรับเมืองชายแดนที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นคือ เมืองเล่ยเซีย ซึ่งอควาโรส และกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเจ็ดแสนคน กับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เจ็ดสิบคนประจำการอยู่ ในส่วนของป้อมปราการหนามแดง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเส้นทางการเดินทางนั้น เสวี่ยเหวินโหรวกำลังนำกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายล้านคน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่หลายร้อยคนไปที่นั่น …. ส่วนเหล่าผู้เชี่ยวชาญอิสระที่เหลือที่ยังมาไม่ถึง คาดว่าพวกเขาน่าจะมาถึง และเข้าประจำการในสถานที่สามแห่งนี้ได้ในไม่ช้าแน่นอน”
“แต่อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบมาเราพบว่ามีผู้เล่นจากโลกอื่นเข้าร่วมกับกองทัพนี้ไม่มากนัก ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ของเราจึงไม่น่าจะลำบากเหมือนประเทศอื่นๆ และถ้าเราโฟกัสไปที่การจัดการกับกองทัพนี้ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาที่จะตรึงพวกเขาไว้สักระยะหนึ่ง”
ป้อมปราการชายแดนโดยทั่วไปจะมีแค่วงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดเล็กเท่านั้น และจำนวนผู้เล่นที่จะสามารถเทเลพอร์ตเข้ามาได้นั้นมันก็มีน้อยมาก ซึ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างกระทันหันของกองทัพจากโลกอื่นนั้น ฟางฉีหานจึงทำได้แค่รีบเร่งนำกองทัพของตัวเองไปที่นั่น
ซือเฟิงนั้นเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นนั้นไม่สามารถอยู่ในป้อมปราการชายแดนได้ตลอดเวลาเหมือนกับกองทัพ NPC ขนาดใหญ่ ผู้เล่นนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปล่าเพื่อเก็บเลเวล และอัพเกรดอาวุธ กับอุปกรณ์ของตัวเอง รวมทั้งอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในป้อมปราการได้ตลอดเวลา ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้เอง มันจึงทำให้ผู้เล่นต้องเลือกจะเทเลพอร์ตไปที่จุดเทเลพอร์ตที่อยู่ใกล้ป้อมปราการที่สุด และรีบเดินทางไปที่ป้อมปราการ
“คุณจะต้องเป็นผู้บัญชาการใหญ่ผู้ออกคำสั่งทั้งหมด !!! แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบตามไปสนับสนุนให้ได้เร็วที่สุด !!!” ซือเฟิงมองไปที่เวลา และกล่าวออกคำสั่ง
หนึ่งชั่วโมง !!
หนึ่งชั่วโมง ด้วยความเร็วที่เขามีในตอนนี้ เขาจะสามารถเดินทางจากที่ที่เขาอยู่ไปถึงตรงนั้นได้แน่นอน !!!
ในปัจจุบันการสร้างเรือเหาะชางเล่ยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งก็คือการแกะสลักวงเวทย์ลงไป โดยมันก็นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นการสร้างเรือเหาะชางเล่ยก็จะเสร็จสมบูรณ์
และเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้นก็มีความสามารถในการต่อสู้ป้องกันมากกว่าอาชีพขั้นห้าสองถึงสามคนซะอีก ….
เมื่อซือเฟิงพูดจบนั้นเขาก็วางสายไป และรีบหันกลับมาแกะสลักวงเวทย์ต่อทันที ….
แกนวงเวทย์ช่วงสุดท้ายนั้นมันประกอบไปด้วยวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสามวง ซึ่งความซับซ้อนของมันนั้นก็ทำให้แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์ที่พึ่งจะก้าวมาถึงขอบเขตนี้ก็ยังยากจะแกะสลักมันให้สำเร็จได้
ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงซือเฟิงด้วย แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแทบทุกๆด้านที่จำเป็นสำหรับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังทำมันได้อย่างยากลำบาก
“ทั้งๆที่คิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ …. แต่ฉันกลับล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้ายนี้มาสามรอบแล้ว !!! ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ?!!!” ซือเฟิงพึมพำอย่างงงงวย ขณะที่เขามองไปยังวงเวทย์ตรงหน้า
“หัวหน้ากิล ฉันว่าดูเหมือนแกนกลางของวงเวทย์พวกนี้จะแปลกๆนะ ….” เมลาน
โครอิคสไมล์ที่เฝ้ามองการกระทำของซือเฟิงอยู่ได้กล่าวขึ้น และทันใดนั้นเธอก็รีบพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าวงเวทย์ทั้งสามวงนี้จะถูกใช้เพื่อนำทางองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่แตกต่างกันจากโลกภายนอก และในตอนท้ายนั้นทั้งสามวงนี้ก็ถูกบังคับให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ …. องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นล้วนมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง พวกมันจะถูกบังคับให้รวมกันได้อย่างไร ?”
ตอนนี้เมลานโครอิคสไมล์อยู่ห่างจากการกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเธอไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้แบบซือเฟิง ดังนั้นเธอจึงมีเวลามากพอที่จะทำการวิจัยวงเวทย์ต่างๆ ซึ่งนี่มันก็ทำให้เธอมองเห็นปัญหาของวงเวทย์ที่ซือเฟิงพยายามแกะสลักอยู่ ….
โดยเมื่อได้ยินคำพูดของเมลานโครอิคสไมล์นั้น ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เพราะคำพูดของเมลานโครอิคสไมล์นั้นทำให้เขารู้ถึงสาเหตุที่เขายังคงแกะสลักวงเวทย์นี้ไม่สำเร็จแล้ว ….
“สรุปแล้ววงเวทย์พวกนี้มันคือการประยุกต์ใช้กฎแห่งการทำลายล้างนี่เอง !!!” ซือเฟิงพึมพำด้วยรอยยิ้ม
เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้ระดมมานาทั้งหมดของเขาเพื่อควบแน่นให้เกิดเป็นเม็ดทรายออกมา ก่อนที่เขาจะอัดมันเขาไปในแกนกลางวงเวทย์โดยตรง
ตู้ม !!
ทันใดนั้นมันก็เกิดเสียงดังขึ้นที่บริเวณแกนกลางวงเวทย์ของเรือเหาะชางเล่ย และหลังจากนั้นมานาจำนวนมหาศาลก็ได้เริ่มไปรวมตัวกันรอบๆแกนกลางวงเวทย์ จนกระทั่งมันมีมากเพียงพอที่จะจุดเตาหลอมพลังของเรือเหาะชางเล่ยให้เริ่มทำงาน
ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเรือเหาะชางเล่ย ระดับเหล็กลึกลับ ได้รับค่าความเชี่ยวชาญทางสายอาชีพ หนึ่งร้อยล้านแต้ม และได้รับค่า EXP ที่ทำให้เลเวลเพิ่มขึ้นสองเลเวล
ในขณะเดียวกันผู้เล่นคนอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการสร้างเรือเหาะนั้นก็ได้รับเสียงแจ้งเตือนจากระบบที่คล้ายๆกับซือเฟิง เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับมันจะด้อยกว่าซือเฟิง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมหลักในการสร้างก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามพูดกันตามตรง ณ ตอนนี้นั้นมันก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังเรือเหาะชางเล่ยที่ถูกสร้างจนเสร็จสิ้น
เรือเหาะลำนี้มีความยาวรวมสามร้อยเมตร และสามารถจุคนได้สูงสุดสามร้อยคน ขณะที่ทั่วลำเรือนั้นก็มีปืนใหญ่เวทย์มนต์ขั้นสูงถูกติดตั้งไว้ทั้งหมดสี่สิบกระบอก ซึ่งการโจมตีของปืนใหญ่เวทย์มนต์ขั้นสูงแต่ละกระบอกนั้นก็มีพลังเทียบเท่ากับขั้นห้าเลย โดยปืนพวกนี้นั้นสามารถจะใช้ได้ทั้งในการรุก และรับ ขณะที่เกราะของเรือนั้น แม้แต่อาชีพขั้นห้าก็ยังยากที่จะทำลายมันได้ และในส่วนของความเร็วในการบินของมันนั้นก็เทียบเท่ากับ อะเม้าท์บินได้ระดับสูง ขั้นพิเศษที่อยู่ในขั้นห้า
อาณาจักรทวินทาวเวอร์ ป้อมปราการสิงโตเหล็ก :
มันมีกำแพงเหล็กที่สูงสี่สิบถึงห้าสิบเมตร และในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าสามแสนคนที่มีเลเวลตั้งแต่หนึ่งร้อยห้าสิบหรือเหนือกว่าขึ้นไปล้วนมารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด โดยแต่ละคนนั้นก็สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบหรือเหนือกว่าทั้งหมด ขณะเดียวกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้นั้นมันก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่อยู่เกือบสามสิบคน ซึ่งผู้ที่นำเหล่าผู้เชี่ยวชาญพวกนี้อยู่ก็คือชายที่มีอายุราวหกสิบปีที่เป็นอัศวินนภา ขั้นสี่ เลเวลสองร้อย โดยชายผู้นี้ก็สวมใส่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานครบเซ็ท ซึ่งมันทำให้เขาดูไม่ด้อยไปกว่าพวกขั้นห้าที่แท้จริงเลย
ขณะเดียวกันวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการก็ถูกเปิดใช้งานทั้งหมดแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของวงเวทย์นี้นั้น แม้แต่การโจมตีขั้นห้าก็จะไม่สามารถทำลายมันลงไปได้ง่ายๆ โดยการโจมตีขั้นห้าหนึ่งครั้งจะลดแหล่งพลังงานของมันลงไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกเหนือจากนี้มันก็มีปราการเวทย์มนต์อยู่สามสิบแห่งรอบป้อมปราการ และมันก็ยังมีหน้าไม้ขนาดใหญ่อีกกว่าหกร้อยอันประจำการอยู่ในแต่ละจุดด้วย
พร้อมกันนั้นมันก็มีเรือเหาะสิบลำลอยอยู่เหนือป้อมปราการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเรือเหาะระดับทองแดงด้วย ขณะที่เรือเหาะลำอื่นๆนั้นก็ล้วนเป็นเรือเหาะขั้นสูงทั้งหมด โดยกองกำลังแบบนี้นั้นสามารถจะใช้จัดการกับกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ได้สบายๆเลย
และมันก็ยังมีอะเม้าท์บินได้ขั้นสามถึงขั้นสี่อีกมากกว่าหนึ่งร้อยตัวบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า ซึ่งฉากนี้นั้นมันอลังการมากๆ และยากจะหาได้ในสถานการณ์ปกติแน่นอน
สำหรับจำนวนผู้เล่นที่มารวมตัวกันที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กในตอนนี้นั้นมันก็ทะลุสองล้านคนไปแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ป้อมปราการแออัดขึ้นมามากๆ
แต่อย่างไรก็ตามในเวลานี้นั้น ไม่มีผู้เล่นคนใดในป้อมปราการที่รู้สึกผ่อนคลาย หรือตื่นเต้นเลย
เพราะในเวลานี้มันมีกองทัพมากกว่าสามล้านคนรวมตัวกันอยู่นอกป้อมปราการสิงโตเหล็ก และเท่าที่พวกเขามองด้วยสายตาคร่าวๆนั้น แค่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่กองทัพนี้ก็มีมากกว่าห้าร้อยคนแล้ว และนี่ยังไม่นับรวมอาวุธสงคราม และอาวุธล้อมเมืองอีกมากมาย
ขณะเดียวกันในด้านของปัจจัยอื่นๆอย่างเช่นเรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้นั้น กองทัพที่อยู่นอกป้อมปราการก็มีอย่างมากมายมหาศาลเช่นกัน โดยพวกเขามีอะเม้าท์บินได้ที่อยู่ในขั้นสาม และขั้นสี่มากกว่าห้าร้อยตัว ส่วนเรือเหาะนั้นพวกเขาก็มีเรือเหาะระดับทองแดงอยู่หกลำ และนี่ก็ยังไม่นับรวมเรือเหาะขั้นสูงและอื่นๆอีกหลายสิบลำด้วย
ความเหลื่อมล้ำ และแตกต่างระหว่างกำลังรบของทั้งสองฝ่ายนั้นมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งนี่มันทำให้ผู้เล่นฝ่ายตั้งรับ และผู้เล่นของทวีปหลักที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้ามืดมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้เล่นที่ประจำการรอป้องกันอยู่ในจุดอื่นๆของอาณาจักรทวินทาวเวอร์
ในเวลาเดียวกันนั้น ตอนนี้ในฟอรั่มทางการของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ มันก็ได้มีการถ่ายทอดสดสงครามครั้งนี้ไปทั่ว
“นี่มันคือการต่อสู้กันระหว่างโลกสองโลกงั้นหรอ ?”
“อาณาจักรทวินทาวเวอร์ของเราจะป้องกันการโจมตีในครั้งนี้ได้จริงๆงั้นหรอ ?”
แม้ว่าผู้เล่นหลายคนในอาณาจักรทวินทาวเวอร์จะได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อมาบ้างแล้วผ่านสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้รับนั้นมันก็มาจากผู้เล่นแค่บางคน หรือไม่ก็เป็นรูปภาพแค่บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ และพวกเขาก็มักมีความรู้สึกเสมอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา อย่างไรก็ตามพอพวกเขาได้มาเห็นฉากแบบนี้ด้วยตัวเองนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นที่ตอนนี้เข้ามาคอยป้องกันป้อมปราการสิงโตเหล็ก พวกเขาได้เข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าอะไรคือสงครามระหว่างโลก สองโลก
ทันใดนั้นเมื่อผู้บัญชาการกองทัพจากโลกอื่นโบกมือ อาวุธสงคราม และปืนใหญ่ทั้งหมดบนเรือเหาะก็ถูกใช้โจมตีเข้าใส่ป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที
“เปิดใช้งานการป้องกันทั้งหมด !!! แล้วก็ทุกคนเตรียมพร้อมต่อสู้ !!!” ผู้บัญชาการของป้อมปราการสิงโตเหล็ก อัศวินนภา ขั้นสี่ เลเวลสองร้อย เซเปล กล่าวพลางยกดาบในมือขึ้น และตะโกนเสียงดัง
ในช่วงเวลาหนึ่งฝ่ายป้องกันในป้อมปราการทั้งหมดนั้นก็ได้เริ่มโจมตีโต้ตอบด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นนั้นมันก็ได้เปลี่ยนทั่วทั้งบริเวณให้กลายเป็นทะเลเพลิง พร้อมกันนั้นเสียงกรีดร้องต่างๆก็เริ่มดังขึ้น โดยมันก็ดังมากซะจนก้องเข้าไปในจิตใจของผู้เล่นทุกคนเลย
ฟางฉีหานมองไปยังทุกคนที่อยู่บนกำแพงป้อมปราการ และกล่าวอย่างสงบว่า “ทุกคนอย่างตื่นตระหนก !!! ทำตามแผนเดิมของเรา !!! อาชีพระยะไกลให้รีบเข้าไปเสริมตามตำแหน่งป้องกันต่างๆทั้งหมดให้แน่นหนาขึ้น ส่วนอาชีพระยะประชิดรอไปก่อน คิวของพวกคุณจะมาถึงเมื่อวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการพังลง โดยหน้าที่ของพวกคุณนั้นก็จะเป็นการปกป้องไม่ให้กองทัพจากโลกอื่นเข้าใกล้พวกอาชีพระยะไกล และคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้ ซึ่งเมื่อวงเวทย์ของป้อมซ่อมเสร็จ เราก็จะกลับมามีความได้เปรียบอีกครั้ง ทำอย่างนี้วนไป ไม่นานกองทัพจากโลกอื่นก็จะล้า และถอยไปเองแน่นอน !!!”
วงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการนั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ยงคงกระพันใดๆเลย และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังจำนวนมากแบบนี้ มันจะใช้เวลาไม่นานนักแน่นอนก่อนที่มันจะพังลง อย่างไรก็ตามมันก็ยังสามารถจะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ซึ่งบทบาทหลักๆของเหล่าผู้เล่นในทวีปหลักที่มาตั้งรับมันก็จะอยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ พวกเขาจะต้องต้านกองทัพจากโลกอื่นไว้ให้ได้นานที่สุด และฆ่าให้ได้มากที่สุดเพื่อยื้อเวลาไปจนกว่าวงเวทย์ป้องกันของป้อมจะซ่อมเสร็จ
เมื่อได้ยินคำสั่งของฟางฉีหาน ผู้เล่นทั้งหมดก็มีท่าทีสงบลง และกลับมามีความมั่นใจมากขึ้น
NPC เมื่อตายไปนั้นจะคืนชีพได้ยากกว่าผู้เล่นมากๆ และก็ไม่ต้องพูดถึงในสถานการณ์สงครามแบบนี้เลย ดังนั้นนี่มันจึงนับเป็นข้อได้เปรียบของเหล่าผู้เล่นที่เป็นฝ่ายตั้งรับ เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้พวกเขาตาย พวกเขาก็จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ โดยสูญเสียไปเพียงแค่ EXP และอาวุธกับอุปกรณ์บางชิ้นเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสี่นาที ในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันได้เข้าประจำการกันจนพร้อมสรรพนั้น วงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการสิงโตเหล็กก็ได้เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้ว
“กองทะลวงฟัน !! บุกเข้าไป !!!”
ผู้บัญชาการกองทัพจากโลกอื่นที่ตอนนี้ลอยอยู่กลางอากาศตะโกนออกคำสั่ง และทันใดนั้นกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าโจมตีป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที พร้อมกันนั้นผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นก็ได้รีบบินตรงไปยังคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการสิงโตทันทีเช่นกัน ซึ่งนี่มันก็ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ในป้อมปราการสิงโตเหล็กนั้นต้องรีบเคลื่อนไหว
“ใช้วงเวทย์ และกับดักทุกอย่างที่มีดักจับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่พวกนั้น !!!” ฟางฉีหานเร่งรีบออกคำสั่ง “ส่วนพวกระยะประชิด ให้ตรึงผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นไม่ให้เข้าใกล้ป้อมได้ ให้นานที่สุด !!!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของฟางฉีหาน เหล่าผู้เล่นก็รีบไปจัดการตามคำสั่งทันที โดยเมื่อพวกเขาเปิดใช้งานวงเวทย์กันนั้น มันก็ทำให้พวกผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นไม่สามารถเข้าใกล้คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้ แถมด้วยผลของวงเวทย์ มันก็ยังทำให้พวกเขาแบ่งพื้นที่ในการต่อสู้ออกเป็นหลายสิบแห่งได้ ซึ่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่นั้นก็ล้วนรวมพลังกับ NPC ขั้นสี่ในป้อมปราการต่อสู้ปกป้องป้อมปราการ
สำหรับพวกผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม พวกเขาได้ร่วมมือกันต้านทานกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นอย่างบ้าคลั่ง
ในช่วงเวลาหนึ่งเสียงการต่อสู้ และเสียงกรีดร้องนั้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งใน และนอกป้อมปราการสิงโตเหล็ก
ซึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้น เมื่อมีความแตกต่างกันไม่มากนักในด้านของเลเวล กับอุปกรณ์ของทั้งสองฝ่าย มันจึงกลายเป็นการต่อสู้ที่สูสี และนองเลือดอย่างถึงขีดสุด โดยนี่มันก็ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของแต่ละฝ่ายนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อเวลาผ่านไปนั้น ผลลัพธ์มันก็ได้ค่อยๆแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน โดยมันก็ไม่ได้มีพลิกโผอะไร ….
เพราะเมื่อเวลาผ่านไป …. ฝ่ายอาณาจักรทวินทาวเวอร์นั้นdHยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างในด้านกำลังพล เรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้เลย เพราะแค่ความแตกต่างของจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เพียงอย่างเดียว ฝ่ายอาณาจักรทวินทาวเวอร์ก็ไม่สามารถจะทดแทนได้แล้ว และแม้ว่าจะมีปราการเวทย์มนต์ รวมทั้งวงเวทย์เสริมพลังคอยช่วยอยู่ แต่มันก็แทบจะนับว่าไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
และถ้าไม่ใช่เพราะ ไฟเออร์แดนซ์ ไวโอเล็ตคลาว รวมทั้งหยานเทียนซิงที่มีเลเวลหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหรือมากกว่าได้ไปร่วมมือกันช่วยตรึงระดับผู้บัญชาการที่เป็นพวกขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบไว้ ป้อมปราการนี้ก็อาจจะแตกไปนานแล้วด้วย
สำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่คนอื่นๆ นอกเหนือจากพวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตอนันต์ หรือสูงกว่าขึ้นไปแล้ว มันก็ไม่มีใครเลยที่จะสามารถต่อสู้กับ NPC ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นแบบตัวต่อตัวได้
“จำนวนของอาชีพขั้นสี่แตกต่างกันมากเกินไป !!! ไม่น่าแปลกใจเลยที่มหาอำนาจต่างๆที่อยู่ในจักรวรรดิจะพ่ายแพ้กัน !!! หากเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แม้แต่วงเวทย์ที่ทำหน้าที่ป้องกันคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการก็จะแตกแน่นอน !!!”
หลังจากที่ฟางฉีหานจัดการฆ่าจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบลงไปได้ เธอก็ได้เหลือบไปมองการต่อสู้ในด้านอื่นๆ และมันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง เพราะท้ายที่สุดหากคำณวนตามตัวเลขกันจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ฝ่ายป้องกันของพวกเขาแต่ละคนนั้นจะต้องฆ่า NPC ขั้นสี่จากโลกอื่นพวกนี้ให้ได้กันคนละห้าถึงหกคนเลยทีเดียว ….
เมื่อเวลาผ่านไปนั้นทุกอย่างมันก็ยิ่งเด่นชัด เพราะผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่แปดสิบสองคนของพวกเขาได้ถูกฆ่าไป และมากกว่ายี่สิบคนก็ถูกฆ่าไปโดยผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่น ขณะที่ด้านผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นนั้น พวกเขาสูญเสียไปเพียงแค่หกคนเท่านั้น โดยสามจากหกคนนั้นฟางฉีหานเป็นคนฆ่าด้วย ….
“ฆ่า !! ฆ่าให้ได้มากที่สุด !!! เราจะต้องไม่ถอยอย่างรวดเร็วในการรบครั้งแรก !!!” ฟางฉีหานมองไปยังจำนวนคนฝ่ายป้องกันที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “แม้ว่าพวกเราจะต้องตาย !! แต่พวกเราก็จะต้องให้พวกผู้รุกรานเหล่านี้จ่ายในราคาที่สูงลิ่ว !!!!”
ฟางฉีหานนั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใดๆเลยกับความสูญเสียของป้อมปราการสิงโตเหล็ก
มันมีช่องว่างอย่างมากมายมหาศาลระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากพวกเขาต้องการจะเอาชนะกองทัพจากโลกอื่นกองทัพนี้ให้ได้จริงๆนั้น พวกเขาก็ทำได้แค่จะต้องลากการต่อสู้ให้เข้าสู่ช่วงสงครามแห่งการล้างผลาญเท่านั้น และการจะทำแบบนี้ให้ได้นั้นพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องมอบความเสียหายต่อกองทัพจากโลกอื่นให้ได้มากที่สุดในการปะทะกันครั้งแรก
ซึ่งหากพวกเขาไม่สามารถทำได้ ในครั้งต่อๆไปทุกอย่างมันก็จะยากขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตามเมื่อฟางฉีหานพูดจบนั้น คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นที่นั่งอยู่บนเรือเหาะระดับทองแดงก็ได้ลุกขึ้น และปลดปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา ซึ่งออร่านี้มันก็ได้เข้าปกคลุมไปทั่วป้อมปราการสิงโตเหล็ก และมันก็ทำให้ฝ่ายตั้งรับส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสมันนั้นโดนปราบปรามอย่างหนัก โดยมันเห็นได้ชัดเลยว่าผู้บัญชาการผู้นี้นั้นไม่ได้คิดจะนั่งเฉยๆอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ต้องการจะจบการต่อสู้นี้ให้ไวที่สุด
“อัศวินจอกศักสิทธิ์ขั้นห้า เลเวลสองร้อย ?” ฟางฉีหานมองไปยังผู้บัญชาสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นด้วยแววตาตกตะลึง
เนื่องจากคนผู้นี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกขั้นห้าคนอื่นๆที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยอย่างเห็นได้ชัด และเท่าที่ดูคนผู้นี้นั้นก็น่าจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นห้าด้วย
โดยหากตัวตนระดับนี้เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะถูกสังหารหมู่กันทันทีแน่นอน ….
อย่างไรก็ตามก่อนที่คนผู้นี้จะทันได้ทำอะไรนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมาจากท้องฟ้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
และเมื่อทุกคนหันไปมองยังต้นตอของเสียงนั้น พวกเขาก็พบกับร่างสีฟ้าขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นใกล้เคียงกับป้อมปราการสิงโตเหล็ก
ซึ่งการปรากฎตัวของร่างนี้มันก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนทั่วบริเวณ ….
“เรือเหาะ ?”
“มันคือเรือเหาะจริงๆงั้นหรอ ?!!”
เรือเหาะลำนี้นั้นมีขนาดใหญ่จนน่ากลัว และต่อหน้าเรือเหาะลำนี้ เรือเหาะระดับทองแดงที่ยาวหนึ่งร้อยเมตรก็ดูเหมือนกับเป็นเด็กทารกไปเลย และเมื่อมันแล่นเข้ามาใกล้มากขึ้นนั้นมันก็ทำให้มานาในพื้นที่ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบปั่นป่วนไปเล็กน้อย
และเมื่อเรือเหาะลำนี้แล่นลงมาถึงระดับที่เหมาะสมนั้น ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากเรือเหาะ ซึ่งเมื่อทุกคนในป้อมปราการสิงโตเหล็กได้เห็นตัวตนของชายผู้นี้นั้น ทุกคนก็เดือดพล่านอย่างมาก
“หัวหน้ากิล ! ในที่สุดคุณก็มาถึง !!!” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้มเชิงหงุดหงิดเล็กๆ
เดิมทีเธอคิดว่าซือเฟิงน่าจะมาถึงก่อนสงครามจะเริ่ม หรืออย่างน้อยเขาก็น่าจะมาถึงในตอนที่สงครามยังเริ่มไปได้ไม่นาน แต่ตอนนี้สงครามนั้นเริ่มไปนานแล้ว เขากับพึ่งมาถึง ….
“ฉันขอโทษที่ปล่อยให้พวกคุณรอนาน !!” ซือเฟิงกล่าวพลางมองไปยังฟางฉีหาน และคนอื่นๆด้วยความรู้สึกผิด และหลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปมองกองทัพผู้รุกรานจากโลกอื่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ตอนนี้ฉันมาแล้ว !! ดังนั้นปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ฉันเอง !!!”