Reincarnation Of The Strongest Sword God – ตอนที่ 2919

ความสดใสส่งเสียงเรียกเขาด้วยจังหวะที่ไพเราะดุจคลื่นชายฝั่งที่สะกิดซากเรืออับปาง และเมื่อแสงแดดที่กระทบน้ำตกสะท้อนเข้ามาที่ดวงตาของเขา ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปีก็ค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของเขาขึ้น ….

ขณะเดียวกันแสงแดดที่สะท้อนเข้ามานั้นก็เผยให้เห็นห้องนอนที่กว้างขวาง และถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งตอนนี้มันได้สว่างไสวไปด้วยแสงของดวงอาทิตย์ในยามเช้า

นี่ฉันหมดสติไปนานแค่ไหนกัน ?

นี่คือความคิดแรกของซือเฟิงหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เท่าที่เขาจำได้ เขาไม่ได้หมดสติโดยที่ทั้งจิตใจ และร่างกายไม่รู้สึกตัวเลยมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว …. ดังนั้นหลังเขาตื่นขึ้นมาในคราวนี้เขาจึงค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

แดดออก ?

มันน่าจะเป็นเวลากลางวันใช่ไหม ? แต่แล้วมันผ่านไปกี่ชั่วโมง ? กี่วัน ? หรือมันผ่านไปเป็นปีแล้ว ?

แต่กระนั้นซือเฟิงก็ไม่ได้เสียเวลาคิดนานนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว จากที่เขาจำได้นั้นครั้งสุดท้ายเขาอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ดังนั้นแสงแดดนี้มันก็ไม่ใช่ของจริงแน่นอน แต่มันเป็นสิ่งที่ Upper Zone ได้สร้างขึ้นมา ….

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้นั้นมันก็มอบความรู้สึกที่สบายอย่างถึงที่สุดให้กับซือเฟิง ในขณะที่ร่างกายในด้านต่างๆของเขาก็ถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ….

หลังจากนั้นไม่นานซือเฟิงก็ได้ยันตัวลุกขึ้นจากเคบินขนาดใหญ่ที่ส่วนท้ายมีสารอาหารเหลวจำนวนมากเชื่อมต่ออยู่ ก่อนที่เขาจะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแบบเป็นกิจจะลักษณะอีกครั้ง ….

ใน God domain เขาต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มลึกลับที่ทรงพลังที่ถูกเรียกว่า “นักวิชาการ” …. ดังนั้นเขาจึงถูกผลักดันให้ต้องรีบสร้างร่างเทพขั้นสูงที่เหนือกว่าของชายหนุ่มลึกลับ เพื่อที่จะก้าวไปสู่การเป็นเทพขั้นหก ชั้นสูง ที่แท้จริง

และเมื่อเขาทำสำเร็จนั้นเขาก็สามารถที่จะเอาชนะชายหนุ่มลึกลับผู้นี้ได้อย่างง่ายดายมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเทพทั่วไป กับเทพชั้นสูง นอกเหนือจากนี้เมื่อเขาจัดการชายหนุ่มลึกลับผู้นี้ได้ เขาก็ได้รับคริสตัลวิญญาณเทพโบราณมาเป็นรางวัลด้วยด้วย ซึ่งเมื่อเขากลืนกินมันเข้าไปนั้นมันก็ทำให้เขาสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดของขั้นหก และกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้

หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินทางไปพบเซี่ยอู๋หยวน และเซี่ยอู๋หยวนก็ได้บอกให้เขารับรู้ถึงความลับของ God domain โลกหลักที่เป็นโลกของอารยธรรมสี่มิติ ซึ่งโลกนี้จะมีแต่พวกสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้นที่สามารถจะเข้าถึง และเข้าออกได้ตามต้องการ นอกเหนือจากนี้สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแต่ละคนก็สามารถจะพาผู้ติดตามซึ่งต้องอยู่ในระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเป็นอย่างน้อยติดตามไปยังโลกหลักนี้ได้หกสิบคนด้วย

ขณะที่ God domain ที่เขาเล่นอยู่แต่เดิมนั้นเป็นเพียงโลกย่อยของโลกหลักนี้เท่านั้น และโลกย่อยนี้ก็ไม่ได้จำกัดการเข้าถึงใดๆ โดยมันทำหน้าที่คอยช่วยฝึกฝนให้คนๆหนึ่งกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตหรือใกล้เคียงได้

และแม้ว่ามันจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญในโลกหลักของ God domain แต่มันก็นับเป็นเครื่องมือการฝึกที่มีค่าที่จะใช้พัฒนา และสร้างสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตขึ้นมา ในขณะเดียวกันโลกย่อยที่เขาอยู่แต่เดิมนั้นก็สามารถจะไปบุกรุก หรือถูกบุกรุกจากโลกย่อยอื่นๆได้ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็นับเป็นโชคดีที่ตอนนี้โลกย่อยของเขาได้พัฒนาไปไกลกว่าโลกย่อยอื่นๆส่วนใหญ่ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงพอจะมั่นใจในความปลอดภัยของมันได้บ้าง ….

ในส่วนของฟีนิกซ์เรน จักรพรรดิเก้ามังกร และคู่หลง รวมไปถึงพวกระดับสูงอีกหลายคนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนนั้นพวกเขาสามารถเข้าสู่โลกหลักนี้ได้ เพราะความผิดพลาดเชิงพื้นที่เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตามความผิดพลาดเชิงพื้นที่นี้มันก็นับเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ เพราะมันได้ช่วยเพิ่มกำลังคนของโลกนี้ในโลกหลักขึ้นไปอีกมาก

โดยบริษัทกรีนก๊อดนั้นก็ได้ทำการล่อลวงคนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนทั้งหมดด้วยทรัพยากรล้ำค่าต่างๆมากมาย นอกเหนือจากนี้แล้วพวกเขาก็ยังเต็มใจจะมอบสถานที่ที่ดีที่สุดใน Upper Zone ให้คนเหล่านี้ได้อยู่อาศัยด้วย เพื่อที่จะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้ยังคงยอมล๊อคอินอยู่ในระบบต่อไป (กลับไปย้อนอ่านตอน 2918 นะ ใครลืมเรื่องโลกหลัก โลกย่อย ผลของมัน เพราะถ้าพิมอธิบายในตอน 2919 ด้วยมันจะยาวไป)

นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนทั้งหมดที่พลัดหลงเข้าไปในโลกหลักของ God domain จากความผิดพลาดเชิงพื้นที่ได้ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นต่อไป…. ในฐานะผู้บริหารของกิลชั้นยอดแล้ว พวกเขารู้ดีว่าแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในสายตาคนทั่วไป แต่ใน Upper Zone นั้น พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเลย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงทรัพยากรล้ำค่าจำนวนมากที่บริษัทกรีนก๊อดสัญญาว่าจะมอบให้กับพวกเขาอีก และนี่ก็ยังไม่นับรวมการที่พวกเขาได้มาอาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดของ Upper Zone ด้วย ซึ่งที่นี่นั้นมันก็ทำให้พวกเขามีอายุขัยเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติถึงสามเท่า …. ดังนั้นนี่มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมาก

สำหรับเรื่องผลกระทบของการทำแบบนี้นั้นซือเฟิงคิดว่า ฟีนิกซ์เรนและคนอื่นๆคงได้รับผลกระทบไม่มากนัก เมื่อเทียบกับอควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว รองหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกสองคนที่ได้เข้าไปติดในโลกพิเศษโดยคิดเป็นเวลาในโลกนั้นถึงแปดสิบปี ทั้งๆที่โลกปกตินั้นพึ่งจะผ่านไปเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น

….

การหายตัวไปของรองหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีกทั้งสอง และพวกผู้บริหารระดับสูงของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนนั้นเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน และมันอาจเกี่ยวข้องกัน …. แต่กระนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็ได้เลือกจะปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน เพราะเขายังคงมีเวลาเหลือเฟือในการรวบรวมข้อมูลของเรื่องนี้

แถมตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆก็คือเขาต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เพราะเขาจำเรื่องราวทั้งหมดได้ถึงแค่ตอนที่เขาเริ่มล๊อคอินเข้าสู่โลกหลักของ God domain ก็เท่านั้น

เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้เริ่มตั้งสติ ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ตู้เย็นในห้องครัวที่เป็นเสมือนตู้ขายของอัตโนมัติ และวางมือของตัวเองลงไป

ในไม่กี่วินาทีต่อมา ขวดคริสตัลขนาดเล็กก็ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องจักร โดยภายในขวดคริสคัลนี้มันมีของเหลวสีแดงที่เรืองแสงอยู่ภายใน ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แต่จากประสบการณ์ของซือเฟิง เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันจะให้ประโยชน์ และช่วยเหลือตัวเขาในตอนนี้ได้อย่างมากแน่นอน

หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เปิดขวดคริสตัลนี้ และจัดการกระดกของเหลวสีแดงที่อยู่ภายในลงไปครั้งเดียว ซึ่งนี่มันก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ไปทั่วร่างกายทันที โดยมันให้ความรู้สึกคล้ายกับตอนที่เขากลืนคริสตัลวิญญาณใน God domain โลกย่อยเข้าไปเลย และในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาซือเฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาได้รับการฟื้นฟูกลับมาจนอยู่ในสถานะสูงสุดเหมือนเดิมแล้ว หรือจะพูดให้แม่นยำอีกอย่างก็คือ มันมีบางส่วนที่เขารู้สึกดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

โพชั่นนี้มันอะไรกัน ?!!

และเมื่อซือเฟิงทำการตรวจสอบหน้าจอแสดงผลย้อนหลัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ

“โพชั่นมังกรอมตะงั้นหรอ ?!!”

“คุณซือเฟิง !!! ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว !!!” เซี่ยชิงหยางที่โผล่เข้ามาในห้องครัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยกล่าวด้วยความดีใจ ในตอนนี้เมื่อซือเฟิงกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้ว เขาจึงนับว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสองของบริษัทกรีนก๊อด ดังนั้นเมื่อซือเฟิงทำการสั่งการอะไรสักอย่างผ่านระบบใน Upper Zone นาฬิกาควอนตัมของเซี่ยชิงหยางมันจึงแจ้งเตือนเธอขึ้นมาทันที

เธอเคยเป็นผู้จัดการทั่วไปในชั้นพื้นฐานของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเธอเป็นผู้ที่ค้นพบ และได้ทำความรู้จักกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอย่างซือเฟิงเป็นคนแรก ดังนั้นเธอจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าผู้จัดการ Upper Zone ทั้งหมดของเมืองหยวนเทียน

เซี่ยชิงหยางอายุยี่สิบหกปี โดยเธอแก่กว่าซือเฟิงสี่ปี แต่ Upper Zone นั้นก็ช่วยให้เธอสามารถรักษารูปลักษณ์ทั้งหมดของเธอให้เหมือนกับตัวเธอยังอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆได้ ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้เธอดูเหมือนพี่สาวสุดสวยมากกว่าหัวหน้าผู้จัดการจอมเฮี้ยบอย่างมาก

อย่างไรก็ตามหลังจากก้าวเข้ามาในห้องครัวได้แค่ไม่กี่ก้าวเธอก็หยุดนิ่งไป และบลัชออนของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ….
“ทำไมคุณถึงเปลือยอยู่เนี่ย ?!! ….” เธอตะโกนออกมา ก่อนที่จะหันหน้าไปทางอื่น แต่กระนั้นแก้มของเธอมันก็ยังดูแดงระเรื่ออย่างชัดเจน “รีบไปแต่งตัวเลย !!! แม้ว่าคฤหาสถ์ที่นี่ของเราจะล้ำสมัยอย่างถึงที่สุด แต่มันก็ไม่ได้มีระบบให้เสื้อผ้าเดินมาใส่ให้คุณเองนะ !!!!

เมื่อเซี่ยชิงหยางพูดจบเธอก็ได้เดินถอยออกไปเพื่อให้ซือเฟิงได้มีเวลาจัดการใส่เสื้อผ้าของเขา แต่กระนั้นเธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาว่า “ต่อให้ไม่ได้ออกไปไหนผู้ชายก็ควรจะใส่บ๊อกเซอร์สักหน่อยนะ … ไม่ใช่มาแก้ผ้าแบบนี้ !!! อีกอย่างคุณก็ควรจะแต่งตัวไว้สักหน่อยเมื่อต้องเจอกับผู้หญิง !!!”

อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นท่าทีของเซี่ยชิงหยาง แต่ซือเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกใดๆมากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้น เขาไม่ได้มีอายุยี่สิบสองเหมือนอย่างรูปลักษณ์ของเขาสักหน่อย และหากนับรวมจริงๆกับชีวิตที่แล้วของเขา เขาจะมีอายุมากกว่าสามสิบสองปีด้วยซ้ำ ซึ่งในช่วงสิบปีในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น เขาก็เคยผ่านผู้หญิงมามากหน้าหลายตามากๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อยกับเรื่องนี้ ….

“ผู้จัดการเซี่ย คุณกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ ? คุณเป็นฝ่ายที่บุกรุกเข้ามาในคฤหาสถ์ของฉันนะ …” ซือเฟิงกล่าวอย่างสบายๆ

“นั่นมันก็ใช่ !! แต่อย่างน้อย …. โถ่ว !!!” เซี่ยชิงหยางพูดไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง

“ว่าแต่ฉันหมดสติไปนานแค่ไหนกัน ?” ซือเฟิงยังคงตั้งคำถามกับเซี่ยชิงหยาง แบบไม่ได้สนใจใดๆต่อไป ….

“รีบแต่งตัวก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกัน …” เซี่ยชิงหยางกล่าวย้ำ

เมื่อได้ยินดังนั้นซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องนอนของเขา และจัดการสวมใส่เสื้อผ้าด้วยชุดที่ดีที่สุด ซึ่งมันเป็นชุดของสมาชิกภายในของบริษัทกรีนก๊อดที่ถูกทำขึ้นมาอย่างปราณีตมากๆ และทันทีที่มันเลื่อนผ่านผิวหนังของเขามันก็ให้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมากๆ นี่ต้องเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ของบริษัทกรีนก๊อดอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จซือเฟิงก็ได้เดินกลับหาเซี่ยชิงหยางที่รออยู่บริเวณห้องนั่นเล่น และกล่าวอย่างสบายๆกับเซี่ยชิงหยางว่า “ฉันแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้ตอบฉันมาได้แล้วว่าฉันหมดสติไปนานแค่ไหน ?”

เซี่ยชิงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของซือเฟิง เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบเรื่องที่เขาถามแบบไหนดี แต่อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็ได้เลือกที่จะตอบไปตามความจริง

“คุณหมดสติไปราวหกชั่วโมงของโลกจริง นับตั้งแต่ตอนที่คุณล๊อคอินเข้าสู่โลกหลัก ….” เซี่ยชิงหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้ว่าแก้มของเธอจะยังคงแดงระเรื่ออยู่ก็ตาม

“หื้ม ?!”

ซือเฟิงนั้นเตรียมพร้อมจะรับข่าวที่น่าตกใจที่สุดแล้ว แต่กระนั้นพอเขาได้ยินมันจริงๆ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่ดี

หกชั่วโมงเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการล๊อคอินเข้าสู่โลกหลักงั้นหรอ ?!!

นี่มันออกจะนานไปหน่อยไหม ? … ซือเฟิงพึมพำกับตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วซือเฟิงรู้สึกว่าราคาที่ต้องจ่ายเมื่อทำการล๊อคอินนั้นมันจัดว่ารุนแรงเกินไปหน่อย และมันก็จัดว่าเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์มากๆ

“คุณซือเฟิง … คุณโอเคไหม ? ฉันพูดอะไรผิดไปรึปล่าว ?”

“ไม่ .. ไม่ผิด ไม่มีอะไรหรอก ….” เมื่อซือเฟิงตั้งสติได้ เขาก็รีบกล่าวขึ้น ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “ว่าแต่ทำไมคุณถึงมาหาฉันละ ?”

‘โอ้ ! ใช่แล้ว !!!” เซี่ยชิงหยางกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเกรงใจ เธอเกือบจะลืมจุดประสงค์หลักที่เธอมาพบกับซือเฟิงในวันนี้แล้ว “ฉันมาเพื่อเชิญคุณไปยังสำนักงานใหญ่หลักของบริษัทกรีนก๊อดที่นั่นพวกเราวางแผนที่จะแนะนำสิ่งต่างๆในโลกหลักในคุณได้รู้จัก เพราะเมื่อคุณเข้าไปคราวหน้าคุณจะได้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นแบบจริงๆจังๆ ….”

“งั้นฉันก็คงต้องรบกวนคุณหน่อยแล้ว พี่สาวชิงหยาง …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม บางๆ และเตรียมจะลุกขึ้น ตอนนี้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้หญิงตรงหน้าของเขาแล้ว หลังจากที่เธอคอยช่วยเหลือเขามามากมาย ดังนั้นเขาจึงได้กล้าที่จะเรียกเธออย่างสนิทสนมแบบนี้

พี่สาว ?

แก้มของเซี่ยชิงหยางที่ตอนแรกเริ่มจะหายแดงนั้นได้กลับมาแดงระเรื่อเป็นสีสดชัดเจนอีกครั้งทันที เมื่อซือเฟิงเรียกเธอแบบนี้

“อะแฮ่ม !!!” เซี่ยชิงหยางได้ทำท่าทีไอ และพยายามเอามือปกปิดหน้าที่แดงของเธอเอาไว้ “ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจบางอย่างผิดนะ สำนักงานใหญ่หลักของบริษัทกรีนก๊อดนั้นตั้งอยู่ในระบบ Mind Space ของเรา …”

เมื่อเซี่ยชิงหยางกล่าวจบเธอก็ได้ชี้ไปที่ห้องเกมเคบินเฟียเลสของซือเฟิงที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนที่เธอจะหยิบการ์ดที่ทำจากวัสดุที่ดูคล้ายกับหยกออกมายื่นให้ซือเฟิง

ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที และเมื่อเซี่ยชิงหยางกลับออกไปนั้น ซือเฟิงก็ได้จัดการติดตั้งการ์ดนี้เข้ากับห้องเกมเคบินเฟียเลส เพื่อล๊อคอินเข้าไปสู่สำนักงานใหญ่หลักของบริษัทกรีนก๊อดทันที

….

ซือเฟิงได้เข้าสู่ระบบแล้ว

….

ทุกคนที่อยู่ในระบบ และนั่งอยู่ในห้องประชุมนั้นเงียบลงไปทันที เมื่อหน้าจอโฮโลแกรมแสดงข้อความนี้ขึ้นมา

ชายหนุ่มตื่นแล้วสินะ ?

เซี่ยอู๋หยวนพึมพำพลางยิ้มออกมา ในขณะที่คนอื่นๆนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และตื่นเต้น

….

เซี่ยชิงหยางได้เข้าสู่ระบบแล้ว

….

ขณะเดียวกันเมื่อระบบแจ้งเตือนถึงคนต่อมาที่เข้าสู่ระบบ ทุกคนก็จับจ้องไปยังที่นั่งว่างตรงหัวโต๊ะทันที ซึ่งในขณะนี้นั้นมันได้ถูกครอบครองโดยเซี่ยชิงหยาง

“ยินดีต้อนรับ หัวหน้าผู้จัดการเซี่ย …” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน

เซี่ยชิงหยางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะทำการออกคำสั่งกับระบบให้นำซือเฟิงเข้ามาที่ห้องประชุม

“ฉันขอขอบคุณทุกคนมากๆที่มารวมตัวกันในวันนี้” เซี่ยชิงหยางกล่าว “แม้ว่ามันจะเป็นการเรียกแบบเร่งด่วนก็ตาม …”

“หัวหน้าเซี่ยจริงๆคุณไม่ต้องมาพูดแบบนี้ก็ได้นะ เพราะท้ายที่สุดมันก็นับเป็นการบังคับอย่างหนึ่งนั่นแหละ พวกเรามีสิทจะไม่มากันด้วยหรอ ?” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของเซี่ยชิงหยางกล่าวพลางหัวเราะอย่างขมขื่น

ซึ่งชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางรั่ว อดีตหัวหน้าผู้จัดการคนก่อนที่ถูกลดระดับให้ไปเป็นผู้จัดการชั้นบนสุดของ Upper Zone เมืองหยวนเทียนแทน และมันก็เห็นได้ชัดจากท่าทีของเขาเลยว่าเขารู้สึกไม่ค่อยโอเคมากนักที่ต้องเสียตำแหน่งให้กับเซี่ยชิงหยาง

“ฉันก็แค่ขอบคุณอย่างจริงใจตามมารยาทที่ผู้ดีพึงกระทำ ใครจะรับหรือไม่รับ หรือใครจะคิดยังไง ฉันไม่ได้สนใจ ….” เซี่ยชิงหยางตอกกลับคำพูดของจางรั่ว ก่อนที่จะยิ้มออกมา ….

การกระทำ และคำพูดล่าสุดของเซี่ยชิงหยางทำให้จางรั่วกัดฟันด้วยความโกรธ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เลือกจะเงียบลงไปทันที เพราะท้ายที่สุดหากเขาต่อต้านเซี่ยชิงหยางไปมากกว่านี้มันก็มีแต่จะทำให้เขาขายหน้ามากขึ้นเท่านั้น ….

“วันนี้คุณ “ซือเฟิง” สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตที่เพิ่งจะทะลวงขอบเขตมาได้จะมาเข้าร่วมประชุมเพื่อฟังพวกเราแนะแนวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในโลกหลักที่เขาจะต้องเผชิญ รวมไปถึงแผนการพัฒนาทั้งหมดของโลกเรา ในโลกหลักด้วย ดังนั้นฉันหวังว่าทุกคนจะยินยอมแนะแนว และให้ข้อมูลต่างๆแก่เขาเป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เขานับว่าเป็นหนึ่งในความหวังของโลกเราแล้ว …”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยาง ผู้คนที่มาเข้าร่วมประชุมบางส่วนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่บางส่วนก็ยังคงมีท่าทีต่อต้านอยู่แบบเห็นได้ชัด โดยเฉพาะพวกบรรพบุรุษของตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่ๆที่อยู่มาสองร้อยถึงสามร้อยปี ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้นั้นเป็นผู้ที่ช่วยบริษัทกรีนก๊อดวางรากฐานมาตั้งแต่แรก …. พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่อยากจะยอมรับในคำพูดของเซี่ยชิงหยางอย่างถึงที่สุด และพูดกันตามตรงหากไม่ใช่เพราะคำพูดแกมบังคับที่ถูกเสริมเข้ามาโดยเซี่ยอู๋หยวนนั้นพวกเขาจะไม่มีวันยอมมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้แน่ๆ ….

เพราะท้ายที่สุดแล้วชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปีที่มาจากเมืองเล็กๆในโลกภายนอกได้กลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเนี่ยนะ ?!! แค่ฟังมันก็ดูน่าเหลื่อเชื่อมากๆแล้ว ….

และพูดกันตามตรงหากเรื่องที่เซี่ยอู๋หยวนพูดเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มผู้นี้ก็จะทำให้อัจฉริยะหลายคนในตระกูลของพวกเขาที่พวกเขาเลี้ยงดูมาอย่างดีใน Upper Zone นั้นดูเป็นขยะไปเลย

เซี่ยชิงหยางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อเธอได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะกังวลจริงๆในเรื่องการพาซือเฟิงมาเปิดตัวในครั้งนี้ เพราะหากมันล้มเหลว มันจะส่งผลกระทบต่ออำนาจของเธอในอนาคตแน่นอน

“เอาล่ะ ฉันจะขอพักการประชุมไว้เท่านี้ก่อน เพื่อรอให้แขกผู้มีเกียรติของเรามาถึง โดยจากที่ผู้ช่วยของฉันแจ้งมาดูเหมือนอีกไม่นานเขาก็จะมาถึงแล้ว ….”

การประชุมถูกระงับไว้ชั่วคราวจนกว่าซือเฟิงจะมาถึง ผู้ที่เข้ามาใหม่ในระบบ Mind Space ของบริษัทกรีนก๊อดนั้นจะต้องเริ่มต้นที่ชั้นพื้นดิน และกว่าที่จะขึ้นมาถึงชั้นบนที่พวกเขาประชุมอยู่นั้นมันก็จะต้องใช้เวลาพอสมควร แม้ว่าจะใช้ลิฟท์ก็ตาม

ขณะเดียวกันเซี่ยชิงหยางในตอนนี้ก็ได้ลุกขึ้นไปยืนมองขอบฟ้าบริเวณหน้าต่างฝรั่งเศษในห้องประชุมด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด การประชุมในครั้งนี้นั้นถูกจัดขึ้นที่ชั้นหนึ่งพันของระบบ Mind Space ของบริษัทกรีนก๊อด ซึ่งระบบ Mind Space ของบริษัทกรีนก๊อดนี้มันเป็นที่ที่รวบรวมรายละเอียดสำคัญของบริษัทกรีนก๊อดไว้ทั้งหมด และนอกเหนือจากตึกแห่งนี้แล้ว มันก็ยังมีตึกระฟ้าอีกห้าสิบเก้าแห่งตั้งอยู่ใกล้ๆกันด้วย โดยตึกระฟ้าแต่ละตึกนั้นก็เป็นของ Upper Zone ที่แตกต่างกันออกไป

“ชิงหยาง หลานโอเคไหม ?” เซี่ยอู๋หยวนที่เห็นท่าทีของเซี่ยชิงหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้น

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณปู่ถามว่าโอเคเรื่องอะไร …. แล้วก็พูดกันตามตรงเลยนะคุณปู่ ฉันหวังให้คุณปู่ไม่ได้คิดผิดในเรื่องการประเมินซือเฟิงนะ …” เซี่ยชิงหยางกล่าวตอบ

“นี่หลานไม่ไว้ใจการประเมินของปู่คนนี้ที่เป็นปรมาจารย์ทางจิตระดับสามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?” เซี่ยอู๋หยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยาง

“แม้ว่าฉันจะเชื่อมั่นในตัวของเขา แต่เขาก็ดูไม่เหมือนสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตในแบบที่ฉันคิดเลย ….” เซี่ยชิงหยางกล่าวกับปู่ของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้พบกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตมาก่อน แต่เท่าที่เธอคิดสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตนั้นก็น่าจะเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกกดดันทางจิต หรือกลัวได้ทันทีที่พบหน้า แต่ซือเฟิงกับไม่เป็นแบบนั้นเลย เพราะเมื่อเธอไปพบเขา เธอรู้สึกว่าเขาให้ความรู้สึกที่สบายมากๆ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับทุกสิ่งที่เธอคิดอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยาง เซี่ยอู๋หยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา พลางมองไปยังเซี่ยชิงหยางด้วยดวงตาที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน ….

“หลานไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นปู่จึงไม่สามารถจะบังคับอะไรหลานได้ แต่ปู่จะขอบอกหลานไว้ตรงๆอย่างหนึ่งว่าการที่หลานขาดศรัทธาในสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่ของเรานั้น มันทำให้ปู่รู้สึกแย่มากเลยทีเดียว …” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมของเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

สำหรับเซี่ยชิงหยางเธอไม่ได้ตอบโต้ใดๆปู่ของเธอ และเธอก็เข้าใจดีถึงความคิด กับความไม่พอใจของปู่เธอ เพราะท้ายที่สุดแล้วสำหรับปู่เธอนั้นตัวตนระดับนี้จัดว่าเป็นพระเจ้าสำหรับเขาเลย ซึ่งเมื่อเธอไปสงสัยในตัวพระเจ้าของเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่จะทำให้เขาแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา

หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเคาะประตูห้องประชุมจะดังขึ้นสองครั้ง และซือเฟิงก็ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้ช่วยของเซี่ยชิงหยางสองคน

“คุณซือเฟิง ในที่สุดคุณก็มาถึงแล้ว …” เซี่ยชิงหยางกล่าวพลางกวักมือเชิญให้ซือเฟิงไปนั่งที่ปลายอีกด้านหนึ่งของโต๊ะประชุม “ทุกคนนี่คือคุณซือเฟิง สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่”

เมื่อเซี่ยชิงหยางแนะนำซือเฟิงกับทุกคนในห้องประชุมนั้น ซือเฟิงที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ….

ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นทั้งแขกผู้มีเกียรติ และศัตรูตัวฉกาจของหลายคนที่นี่เลยสินะ !!! ซือเฟิงพึมพำ

Reincarnation Of The Strongest Sword God

Reincarnation Of The Strongest Sword God

เริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เขาได้เข้ามาสู่ “เกมแห่งมีชีวิต” นี้อีกครั้งเพื่อที่จะควบคุมโชคชะตาของตัวเอง ครั้งนี้ , เขาจะไม่ถูกควบคุมจากคนอื่น ก่อนหน้านี้ราชาแห่งดาบเลเวล 200 , เขาได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต วิธีการที่จะได้รับเงิน! กลยุทธ์แห่งชัยชนะในดันเจี้ยน! เควสในตำนาน! สถานที่ดรอปอุปกรณ์! ทักษะที่ยังไม่ถูกค้นพบ! แม้แต่ความลับที่พวกผู้ทดสอบเบต้าไม่รู้ , เขารู้มันทั้งหมด สงครามอันยิ่งใหญ่ , ความก้าวหน้าในชีวิต , เข้าสู่ความเป็นพระเจ้า , บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งดาบ ตำนานของชายผู้ที่จะกลายเป็นเทพแห่งดาบได้เริ่มขึ้นแล้ว Starting over once more, he has entered this “living game” again in order to control his own fate. This time, he will not be controlled by others. Previously the Level 200 Sword King, he will rise to a higher peak in this life. Methods to earn money! Dungeon conquering strategies! Legendary Quests! Equipment drop locations! Undiscovered battle techniques! Even the secrets Beta Testers were unknowledgeable of, he knows of them all. Massive wars, life advancement, entering Godhood, sword reaching to the peak; a legend of a man becoming a Sword God has begun.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset