ตอนที่ 2920 ห้าผู้ยิ่งใหญ่
เซี่ยชิงหยางนั้นยังไม่ใช่ปรมาจารย์ทางจิตที่แท้จริง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทางจิตจำนวนมากที่พุ่งเป้ามาที่ซือเฟิง …. และนี่มันก็ทำให้เธอยังคงแนะนำทุกคนให้ซือเฟิงรู้จักต่อไปได้แบบไม่อึดอัด
คนที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้นั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่แท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทกรีนก๊อดในระดับสูงทั้งหมด ….
นอกเหนือจากนี้แล้วคนเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนของห้าตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่ช่วยบริษัทกรีนก๊อดวางรากฐานทั้งหมดมาตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งด้วย และพวกเขาก็ยังเป็นห้าตระกูลที่ถือหุ้นอยู่มากที่สุดในบริษัทกรีนก๊อด โดยพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะห้าผู้ยิ่งใหญ่ และตระกูลของพวกเขาก็นับเป็นห้าตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ระหว่างที่เซี่ยชิงหยางทำการแนะนำทุกคนให้ซือเฟิงรู้จัก ซือเฟิงก็ค่อยๆพยักหน้าอย่างช้าๆและทำการประเมินไปในใจไปด้วย โดยเซี่ยชิงหยางเริ่มจากการแนะนำผู้จัดการชั้นพื้นฐานคนใหม่ของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน และอดีตหัวหน้าผู้จัดการที่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการชั้นบนสุดให้ซือเฟิงรู้จักก่อน
จากนั้นเธอก็เริ่มแนะนำให้ซือเฟิงรู้จักกับตัวแทนของตระกูลทั้งห้า โดยที่สามในห้านั้นอยู่ห่างจากการเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น และคนทั้งหมดนี้ก็ล้วนอาศัยอยู่ในชั้นบนสุดของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน
หลิงกวง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลิง สัตว์ประหลาดเก่าแก่ในหมู่สัตว์ประหลาดเก่าแก่ และตัวแทนจากตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลที่ว่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจากหงส์ไฟ โดยตระกูลนี้นั้นมีศิลปะการต่อสู้ประจำตระกูลที่มุ่งเน้นไปที่การทำทุกอย่างแบบไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ เพราะพวกเขาถือว่า “ชัยชนะนั้นสำคัญที่สุด” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา
จื่อหมิง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลจื่อ โดยเธอเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสาม
สิบกลางๆที่มีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม และเย้ายวนมากๆ แต่อย่างไรก็ตามจากการคาดเดาของซือเฟิงคนๆนี้คงจะมีอายุอย่างน้อยสองร้อยปีแล้ว เพราะออร่าที่เธอแผ่ออกมานั้นมันไม่ใช่ออร่าที่คนวัยสามสิบกลางๆจะมีได้เลย ขณะเดียวกันเรื่องที่เธอยังสามารถรักษารูปลักษณ์แบบนี้ของตัวเองไว้ได้มันก็คงเป็นเพราะสินค้าชั้นเลิศต่างๆของบริษัทกรีนก๊อด บวกกับการที่เธอได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นบนสุดของ Upper Zone มาตลอดแน่นอน และสำหรับตระกูลจื่อนี้ตามตำนานบอกเล่ากันมาว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเต่าดำโบราณ ซึ่งศิลปะการต่อสู้ของพวกเขานั้นก็มุ่งเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลัก และมันก็ยังมีข่าวลืออีกอย่างหนึ่งด้วยว่าจื่อหมิงนั้นไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อนเลย
ปิงเจี้ยง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจี้ยง ตระกูลที่ว่ากันว่าได้รับพรจากเลือดเสือขาวโบราณ ชายผู้นี้เป็นอีกหนึ่งคนนอกเหนือจากหลิงกวง และจื่อหมิงที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจในตัวชายคนนี้ก็คือ ชายคนนี้ดูมีรูปร่างที่เล็กมากๆ เมื่อเทียบกับสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนทั่วไป อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้ซือเฟิงก็ไม่ได้คิดจะประมาทชายผู้นี้เลย เพราะเขาดูแตกต่างมากๆ …. ซึ่งหากให้อธิบายแบบเห็นภาพก็คือเขาดูเหมือนกับเสือที่ซุ่มรอโอกาสโจมตีเหยื่ออยู่ตลอดเวลา
และเมื่อได้ฟังเรื่องราวศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเจี้ยงนั้น ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า และยอมรับว่ามันสมเหตุสมผล เพราะมันคือการลอบสังหาร และการโจมตีอย่างรวดเร็ว
หลังจากแนะนำทั้งสามคนนี้เรียบร้อย เซี่ยชิงหยางก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนพิงกำแพงอยู่ และกล่าวว่า “ส่วนนี่ก็เมิ่งจาง ผู้อาวุโสของตระกูลเมิ่ง ….”
“หื้ม !?”
“อะไรนะ !?”
“ผู้อาวุโส ?!”
“….”
ไม่เพียงแค่ซือเฟิงเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ ทุกคนเองก็เช่นกัน ….
หนึ่งในตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่ลึกลับที่สุด ตระกูลเมิ่ง ตำนานกล่าวถึงสายเลือดอันทรงพลังของพวกเขาว่าได้รับการสืบเชื้อสายมาจากมังกรฟ้า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไงนั้นมันก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของตระกูลพวกนี้มันลึกลับมากๆ
เมื่อผ่านไปชั่วครู่หนึ่งจนหลายคนเริ่มประเมินมวลผลเรื่องนี้กันได้แล้ว หลิงกวงก็เป็นคนแรกที่เริ่มตั้งคำถามกับเรื่องนี้ “ไอ้หนู จิ้งจอกเฒ่านั่นตายแล้วงั้นหรอ ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมคุณถึงไม่ส่งคำเชิญเรื่องงานศพมาให้ฉันล่ะ ? …. ฉันไม่เชื่อหรอกนะหากคุณจะบอกว่าเขาเต็มใจที่จะสละตำแหน่งของตัวเองให้คุณ ….”
เมื่อได้ยินดังนี้จื่อหมิง กับปิงเจี้ยงก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเมิ่งจางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตามเมิ่งจาง ชายหนุ่มผมสีฟ้าไม่ได้ตอบใดๆ และเขาก็ยังคงยืนพิงกำแพงอยู่อย่างเงียบๆ ….
ซึ่งที่เมิ่งจางทำแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่คิดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการตอบคำถามนี้ และพูดกันตามตรงถ้าไม่ใช่เพราะคำขอของบริษัทกรีนก๊อด เขาก็คงจะออกคำสั่งให้คนของเขากวาดล้างตระกูลพวกนี้ไปแล้ว ….
ตระกูลเมิ่งของเขานั้นทรงพลังกว่าที่หลายคนคิดมากๆ และในอดีตแม้แต่คนของราชวงศ์ก็ยังจะต้องตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว เมื่อได้ยินชื่อตระกูลของเขา เพียงแต่ว่าหลังจากที่ตระกูลของเขามาทำงานร่วมกับบริษัทกรีนก๊อดนั้น ตระกูลของเขาก็ได้เลือกจะคงโปรไฟล์ที่ต่ำไว้ด้วยเหตุผลบางประการ
ด้วยสาเหตุนี้เองมันจึงทำให้ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณอื่นๆเริ่มกล้าที่จะเหยียบหางตระกูลเมิ่งของเขา
สำหรับซือเฟิงเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปหาเซี่ยอู๋หยวน และถามว่า “เซี่ยอู๋หยวน ไหนคุณบอกฉันว่าเรามีผู้ที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอยู่แค่สามคนเท่านั้นที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ….”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ของซือเฟิง เมิ่งจางที่แต่เดิมมีท่าทีเฉยเมยก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองยังซือเฟิง
เขาสังเกตเห็นว่าฉันอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตงั้นหรอ ? ไม่สิ นั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้ … ฉันปกปิดทุกอย่างไว้อย่างดีนะ …. หรือบางทีเขาอาจจะโดนแรงกดดันทางจิตจากเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆจนเบลอกัน ?
หรือว่าเขาจะยังไม่แน่ใจเลยลองหว่านหินถามทางกับฉัน ?
เซี่ยอู๋หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำถามของซือเฟิง “ที่ฉันบอกมันก็ถูกต้องตามนั้นนะ เพราะผู้อาวุโสหนุ่มแห่งตระกูลเมิ่งคนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone แต่เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสถ์แห่งเดียวที่ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาของภูเขา Upper Zone …. ซึ่งที่แห่งนี้มันถูกเรียกกันว่า “จุดสุดยอด” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต่อให้เขาอยู่ใน Upper Zone ทั้งฉัน และบริษัทกรีนก๊อดก็ไม่คิดจะบอกคุณหรอก หากคุณไม่ได้มีพลังที่มากพอ เพราะท้ายที่สุดแล้วข้อมูลเกี่ยวกับผู้เล่นในโลกหลักนั้นมันจัดเป็นความลับสูงสุด และนี่มันก็นับเป็นเหตุผลหลักเลยที่ทำให้เราไม่สามารถบอกอะไรกับน้องสาวของฟีนิกซ์เรนที่เป็นห่วงเธอได้ ….”
“เขาเป็นผู้เล่นในโลกหลักงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ขณะเดียวกันเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาผู้อาวุโสอีกสามคนจากสามตระกูลก็เปิดเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา เพราะแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเหมือนกัน แต่พวกเขากับไม่ได้รับการจัดสรรช่องให้แบบผู้อาวุโสหนุ่มแห่งตระกูลเมิ่งเลย
สำหรับเมิ่งจาง เขาเลือกจะตอบซือเฟิงด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก แต่เยาว์วัยว่า “และคุณก็คือสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่ใช่ไหม ?”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ …” ซือเฟิงยักไหล่ตอบแบบไม่แยแส
เขาไม่เคยพบกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนอื่นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบได้แบบมั่นใจว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้วหรือยัง แม้ว่าเขาจะได้รับการยืนยันจากบริษัทกรีนก๊อดมาแล้วก็ตาม ….
“คำตอบอะไรวะเนี่ย ?!!” หลิงกวงตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “สรุปคุณเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ ?!!!”
“เซี่ยอู๋หยวน คุณเล่นอะไรกับเรา ? เราควรจะถูกเรียกตัวมาเพื่อพบกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่ แต่เด็กคนนี้กับไม่แน่ใจว่าเขาเป็นไหมเนี่ยนะ ?!!”
“ผู้อาวุโสหลิง ใจเย็นก่อนๆ … ฉันรับรองได้ ….” เซี่ยอู๋หยวนยังพูดไม่ทันจบเขาก็ถูกขัดขึ้น
“ใจเย็นๆ ? คุณรับรอง ? ฉันควรจะรู้สึกยังไงกับการรับรองของปรมาจารย์ทางจิตงั้นหรอ ? เอาไว้คุณกลายเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตก่อนนะค่อยมาพูดอะไรแบบนี้ !!!”
แต่แล้วในระหว่างที่หลิงกวงกำลังโวยวายนั้น จื่อหมิงก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ทนรับแรงกดดันทางจิตจากพวกเราได้ค่อนข้างดีมากๆ … แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตหรือปล่าวมันก็มีแต่การต้องสู้กันเท่านั้น …. ถ้าเขาสามารถรับมือกับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตสองคนพร้อมกันได้ มันก็แปลว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแน่นอน คุณเห็นด้วยไหมหลิงกวง ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อหมิง หลิงกวงก็หัวเราะออกมาทันที “เหมือนคุณอ่านใจฉันได้เลยนะ !!! ฉันเห็นด้วยร้อยเปอเซ็นต์เลย !!! มาดูกันดีกว่าว่าสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่จะทรงพลังมากขนาดไหนกัน !!!”
“เดี๋ยวสิ พวกคุณไม่ควร …” เซี่ยชิงหยางกล่าวขัดจังหวะอย่างกังใจ “เขาพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากการใช้ร่างกาย และจิตใจไปอย่างหนักนะ ….”
“ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก …. นี่มันในระบบ Mind Space นะ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่มันก็จะเป็นการได้รับบาดเจ็บแบบไม่ถาวรแน่นอน ….” จื่อหมิงโบกมืออย่างไม่สนใจคำพูดของเซี่ยชิงหยาง ก่อนที่เธอจะยิ้มด้วยรอยยิ้มสนุก และกล่าวออกมาว่า “แต่ความตายมันก็คงจะไม่รวดเร็วนักหรอกนะ !!!”
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆนั้นคุ้นเคยกับนิสัยของผู้อาวุโสหลิงกวงดี แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจมากๆที่ในตอนนี้ผู้อาวุโสจื่อหมิงตัดสินใจจะเข้าร่วมกับชายคนนี้ด้วย … แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางใดๆ พร้อมกันนั้นพวกเขายังเปิดระบบป้องกันตัวเองในพื้นที่กันอย่างพร้อมเพรียงด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าสรุปแล้วซือเฟิงนั้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตจริงๆรึปล่าว
ทุกคนที่อยู่ในระบบ Mind Space ของบริษัทกรีนก๊อดนั้นถูกตั้งค่าให้มีร่างมานาระดับดาร์คโกลขั้นสามเท่ากัน เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถใช้สกิลได้เท่านั้น ดังนั้นการได้ต่อสู้กันที่นี่มันจึงจะช่วยประเมินความสามารถของแต่ละฝ่ายได้มากทีเดียว
หลิงกวงที่ใจร้อนนั้นได้พุ่งเข้าโจมตีซือเฟิงด้วยฝ่ามือของเขาทันที
เทคนิคมานา กรงเล็บฟีนิกซ์ !!!
แม้ว่าจะมีเพียงแค่ร่างมานาที่อยู่ในระดับดาร์คโกลขั้นสาม แต่การใช้เทคนิคมานามันก็เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ สำหรับเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้
ฝ่ามือของหลิงกวงถูกห่อหุ้มด้วยเพลิง และมันก็ดูเหมือนว่าอุณภูมิความร้อนนั้นกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆขณะที่เข้าใกล้ซือเฟิง
หื้ม ? นี่บริษัทกรีนก๊อดใส่มานาไว้ในระบบ Mind Space ด้วยงั้นหรอ ? ช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ !!!
ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้ว !!
เงาของดาบขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นข้างๆซือเฟิง
Void Steps !!
ด้วยจังหวะ และเวลาที่สมบูรณ์แบบ ซือเฟิงสามารถหลบการโจมตีได้ง่ายๆเลย ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป และไปปรากฎตัวขึ้นที่บริเวณจุดบอดของหลิงกวงเพื่อทำการโจมตีโต้ตอบ
แต่แทนที่ไลทชาโด้วของซือเฟิงจะโจมตีโดนเป้าหมาย มันกับปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่อยู่ๆก็ปรากฎขึ้นมา ….
ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคู่ต่อสู้ของเขาอีกคนอย่าง จื่อหมิง ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“นี่เธอเจอจุดบอดภายในจุดบอดงั้นหรอ ? ช่างน่ากลัวซะจริงๆ !!!” ซือเฟิงพึมพำ “เธออยู่ในขอบเขตที่เหนือกว่าโดเมนขั้นสูงแล้วงั้นหรอ ?”
เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้รีบใช้งานวงโคจรดาบ พร้อมกับไลท์ชาโด้วเพื่อป้องกันตัวเองทันที อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถูกโจมตีมานิดหน่อยอยู่ดีจากดาบเงาที่อยู่ๆก็โผล่ออกมา
ซึ่งการโจมตีจากดาบเงาที่เข้ามานี้ มันก็ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากปิงเจี้ยงที่ดูเหมือนจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว ….
และ ณ ตอนนี้แม้ว่าวงโคจรดาบจะสามารถสร้างระยะห่างระหว่างซือเฟิงกับทั้งสามได้ แต่มันก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรซือเฟิงเลย ….