เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1202 หยิ่งยโสอย่างที่สุด
แปลโดย iPAT
‘ข้าต้องออกไปด้วยตนเองงั้นหรือ?’
เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ช่วยไม่ได้ที่ชูตู๋จะมีความคิดเช่นนี้
เขาสามารถเข้าสู่สนามรบได้โดยชอบธรรมและยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง
แต่มันจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป? ชูตู๋เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง แล้วพวกเขาจะไม่ถูกเย้ยหยันและดูอ่อนแอเช่นนั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง แต่ฝ่ายธรรมะก็สามารถส่งคนอื่นๆเข้าสู่สนามรบต่อไปไม่ว่าจะเป็นกงหว่านถิง เหยาหยวนอิง หยวนหยาง นู๋เอ๋อกู่ หรือนู๋เอ๋อเฉียน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ชูตู๋ต้องระวังตัวทั้งสิ้น
สองหมัดจะสู้สี่ฝ่ามือได้อย่างไร?
ชูตู๋อาจชนะสองหรือสามรอบแต่เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะสามารถชนะการต่อสู้ทั้งหมด?
ชูตู๋ตกอยู่ในความเงียบ
“อันใด? ไม่มีผู้ใดต้องการต่อสู้อีกแล้วงั้นหรือ?” เย่หลิวชุนซิงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยฝ่ายตรงข้าม
เซี่ยอู่เหิงไม่สามารถอดทนต่อการยั่วยุนี้ เขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นเขาจึงร้องขอกับชูตู๋ “ให้ข้าออกไปจัดการเย่หลิวชุนซิงผู้นี้!”
แต่เซี่ยอู่เหิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แล้วชูตู๋จะปล่อยให้เขาออกไปได้อย่างไร? เซี่ยอู่เหิงอาจสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่อีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับสูงท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งหมด
ชูตู๋ส่ายศีรษะช้าๆ
ทันใดนั้นดวงตาของเขากลับส่องประกายขึ้นอย่างกะทันหัน เขาได้รับจดหมายจากฟางหยวน
‘วิเศษมาก! หลิวกวนซื่อมาได้ถูกจังหวะจริงๆ!’ คิ้วที่ขมวดแน่นของชูตู๋คลายออกทันที
เขาเชื่อมั่นในตัวหลิวกวนซื่อ เขาคิดเสมอว่าในนิกายชูความแข็งแกร่งของหลิวกวนซื่อเป็นรองเพียงเขาเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเดินทางไปยังถ้ำปีศาจคลั่งและฟางหยวนสามารถแสดงผลงานได้อย่างน่าประทับใจ
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูกำลังมา เย่หลิวชุนซิง เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก เจ้าควรดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งชัยชนะให้นานกว่านี้” ชูตู๋หัวเราะเบาๆและกล่าวเสียงเรียบ
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู?”
“ชูตู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายชู ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองย่อมเป็นรองเพียงเขาเท่านั้นใช่หรือไม่?”
“คนผู้นี้ลึกลับมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด พวกเรามีข้อมูลที่จำกัดมาก”
ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะในวังตะวันตกเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหลิวกวนซื่อ
“พิจารณาจากเซี่ยอู่เหิง มันจะแปลกอันใดหากพวกเขาจะมีหลิวกวนซื่ออีกคน?” เหนียงเอ๋อปิงซื่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“อย่างมากเขาก็เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ฝ่ายของพวกเราเป็นอัจฉิรยะระดับเจ็ด” เย่หลิวฮุ้ยหงหัวเราะ
กงหว่านถิงกล่าวเบาๆ แต่เสียงของนางกลับดังไปทั่วห้องโถง “ชูตู๋ไม่ใช่คนตาบอด คนผู้นี้อยู่เหนือห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู เราควรคิดว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่น”
ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงส่องประกายขึ้นด้วยความคาดหวังต่อฟางหยวน
“ผู้อาวุโสห่าวเจิ้น ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อแข็งแกร่งมากงั้นหรือ?” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้หนึ่งถาม แน่นอนว่าเขาเปลี่ยนไปใช่แซ่ไป่ซูแล้ว และมันไม่เหมาะสมที่เขาจะถามผู้อาวุโสเผ่าไป่ซูเพราะการเสียชีวิตของไป่ซูเหว่ยทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในเผ่าไป่ซู
ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามและสี่ของนิกายชูตามลำดับ แท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่ตำแหน่งของพวกเขาต่ำกว่าฟางหยวน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำลายชื่อเสียงนิกายของตนเอง
“เขาอ้างว่าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง”
“แต่เราไม่เคยเห็นเขาใช้ท่าไม้ตายเปลี่ยนร่างแม้แต่ครั้งเดียวระหว่างการต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู”
คำกล่าวของห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ทำให้ผู้คนคิดในแง่มุมหนึ่งอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง
‘ดูเหมือนผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อผู้นี้จะยอดเยี่ยมมาก กระทั่งการรุนรานของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมา?’
‘นี่คือผู้ที่บุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กและยึดรังอินทรีย์ทั้งหมด’ ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน
“เขามาแล้ว” ชูตู๋กล่าว
ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋หันกลับไปด้านหลัง
ในวังตะวันตกผู้อมตะฝ่ายธรรมะก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
เมฆหลากสีนำผู้อมตะที่ดูอ่อนเยาว์บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขาสวมชุดคลุมสีขาว แขนเสื้อของเขาสะบัดตัวไปด้านหลังตามแรงลม
เขามีเส้นผมสีดำ ใบหน้าเหมือนหยก คิ้วคม ดวงตาสดใส ดั้งจมูกสูง ผิวขาวราวหิมะ เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและดูผ่อนคลาย โดยรวมเขาดูหล่อเหลามาก
เพียงแวบแรกที่ฟางหยวนปรากฏตัว เขาก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้คนได้ทันที
“น้องหลิว เจ้ามาแล้ว” ชูตู๋เผยรอยยิ้มสดใจและบินเข้าไปต้อนรับ
“จักรพรรดิอมตะชูตู๋ต้องออกไปต้อนรับเขาด้วยตนเองเลยงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นฉากนี้ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายของผู้อมตะหลายคนจะสั่นสะท้านขึ้น สถานะของฟางหยวนในใจของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกหลายระดับ
“หลิวกวนซื่อมีต้นกำเนิดอย่างไรกันแน่? เหตุใดชูตู๋จึงต้องดูแลเขาถึงระดับนี้?”
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมองหน้ากันและเริ่มให้ความสำคัญกับฟางหยวนมากขึ้น
“วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลบันทึกฉากการต่อสู้ก่อนหน้านี้เอาไว้ ดูเร็วเข้า” ชูตู๋ส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวนอย่างลับๆ
ฟางหยวนยอมรับอย่างเงียบๆ
ชูตู๋ปฏิบัติต่อฟางหยวนอย่างเท่าเทียม หลังจากสร้างข้อตกลงพันธมิตรปีศาจคลั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น
กลุ่มผู้อมตะอดทนรอฟางหยวนบินเข้าสู่สนามรบอย่างช้าๆ
“คนผู้นี้คือเย่หลิวชุนซิง เขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งดวงดาว เขาเอาชนะพวกเรามาสี่คนแล้ว ตอนนี้เราต้องการให้เจ้าแสดงความสามารถและเอาชนะเขา” ชูตู๋กล่าวเบาๆ
ฟางหยวนคิดในใจ ‘ข้ามาเพราะคนผู้นี้ เส้นทางแห่งดวงดาวเหมาะสมกับข้า หากข้ากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้ทันที’
เย่หลิวชุนซิงรู้สึกตึงเครียด
ตั้งแต่ฟางหยวนปรากฏตัว เย่หลิวชุนซิงเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิดแต่เขากลับไม่สามารถอ่านการแสดงออกใดๆของฟางหยวน
ฟางหยวนตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดและเข้าใจวิธีการต่อสู้ทั้งหมดของเย่หลิวชุนซิง
เขาสามารถประเมินความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
เย่หลิวชุนซิงอาจอยู่ระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษและไป่ซุ้ยฮันหรืออาจอ่อนแอกว่าเล็กน้อย โดยรวมแล้วเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่โดดเด่นผู้หนึ่ง
แต่เหนือกว่าเขายังมีตัวตนเช่นจักรพรรดิอมตะชูตู๋และราชาวานรอมตะซื่อเล่ย
และเหนือยิ่งกว่าชูตู๋ก็คือฟงจิวเก้อและฉินไป่เฉิง
ฟางหยวนมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาล
แต่การฆ่าเขาโดยตรงอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน
สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้คือท่าไม้ตายอมตะที่ไม่เพียงมีค่าใช้จ่ายน้อยแต่มันยังมีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว
กล่าวถึงสภาพจิตใจ เขายังเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ความพ่ายแพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขา มันกระทั่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
หากเป็นศัตรูกับคนประเภทนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องฆ่าเขาเท่านั้น
ตงฟางชางฟานไม่สามารถฆ่าเย่หลิวชุนซิง ดังนั้นเขาจึงต้องปวดหัวกับคนผู้นี้อยู่เป็นเวลานาน
แต่จะฆ่าเขาได้อย่างไร?
ฟางหยวนรู้สึกว่ามีโอกาสไม่มากที่จะสามารถสังหารเย่หลิวชุนซิง หลังจากเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล พลังการต่อสู้ของฟางหยวนจะอยู่ในระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ที่ยาวนาน เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะพลังงานอมตะของเขายังเป็นองุ่นเขียวอมตะระดับหก
หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนกล่าว “ข้าจะไม่ต่อสู้”
ผู้อมตะทั้งหมดตกตะลึง
“เหตุใดถึงไม่ต่อสู้? กลัวงั้นหรือ?” หวังอู๋หมิงเย้ยหยัน
ตั้งแต่ภารกิจบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก หวังอู๋หมิงรู้สึกเกลียดชังฟางหยวนมาก สายตาที่คาดหวังของทุกคนทำให้หวังอู๋หมิงไม่พอใจ ตัวเขาพ่ายแพ้ให้กับเย่หลิงชุนซิงและบุคคลที่ทุกคนคาดหวังคือศัตรูของเขา ความรู้สึกนี้ทิ้งรสชาติที่ไม่ดีเอาไว้ในปากของหวังอู๋หมิง
ฟางหยวนไม่ตอบ
อย่างไรก็ตามชูตู๋ขมวดคิ้วและหันหลับไปมองหวังอู่หมิงด้วยสายตาดุร้าย
หวังอู๋หมิงหุบปากลงอย่างรวดเร้ว เม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
ชูตู๋ส่ายศีรษะ ‘หวังอู๋หมิงและคนอื่นๆล้วนเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษหรือปีศาจอมตะ พวกเขาไม่มีทักษะการเข้าสังคมที่ดี แม้เขาจะไม่พอใจหลิวกวนซื่อ แต่เขาจะเปิดเผยความขัดแย้งภายในนิกายชูต่อหน้าคนนอกได้อย่างไร?’
ในเวลาเดียวกันชูตู๋หันหน้ากลับไปที่ฟางหยวนและถาม “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าจะไม่ต่อสู้?”
ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงและเย้ยหยัน “เขาอ่อนแอเกินไป ข้าสามารถฆ่าเขาได้ด้วยน้ำลายของข้า เราจะฆ่าไก่ด้วยมีดฆ่าวัวได้อย่างไร? การต่อสู้กับเขาเป็นการดูแคลนสถานะของข้า”
หยิ่ง!
หยิ่งเกินไปแล้ว!!
ความปั่นป่วนปะทุขึ้นในกลุ่มผู้อมตะทั้งหมดในครั้งเดียว ความคิดทุกประเภทพุ่งเข้าสู่จิตใจของทุกคน
ฟางหยวนดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปงามที่สงบเสงี่ยมแต่คำกล่าวสองสามคำแรกของเขากลับเผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโสอันเป็นที่สุด
“เขากล่าวว่าสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยน้ำลายของเขางั้นหรือ? กระทั่งชูตู๋ก็ยังไม่สามารถทำได้!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อรู้สึกไม่พอใจมาก
‘เขาหลงตัวเองมากเกินไป’ เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความงุนงง เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนหยิ่งผยอง แต่เขากลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนผู้นี้
ฟางหยวนพ่นเรื่องไร้สาระมากมายออกมา ความหยิ่งผยองชนิดนี้ทำให้หลายคนไม่พอใจ
แต่คนที่ไม่พอใจมากที่สุดคือเย่หลิวเสี่ยวจิน
เขายังเด็กและเลือดร้อน เย่หลิวชุนซิงเป็นสมาชิกหลักของเผ่าเย่หลิวและเป็นผู้อาวุโสที่เขาเคารพ แต่ฟางหยวนกลับทำให้เย่หลิวชุนซิงอับอาย นี่ไม่ต่างจากการทำให้เขาขายหน้าเช่นกัน
ดังนั้นผู้อมตะหนุ่มผู้นี้จึงลุกขึ้นยืนและตะโกนเสียงดัง “เจ้าไม่กล้าแสดงทักษะออกมา แต่เจ้ากลับกล้าพ่นน้ำลาย! เจ้ากล้าประเมินความสามารถของผู้อาวูโสชุนซิงเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคนขลาด เจ้าไม่กล้าต่อสู้ เจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะเจ้ากลัวใช่หรือไม่?”