หายนะร่วงหล่นราวกับสายฝน
แปลโดย iPAT
“หือ เกิดสิ่งใดขึ้น?” กลุ่มผู้อมตะภาคใต้ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละคน
แม้แต่ผู้ใช้วิญญาณมนุษย์บนภูเขาอี้เทียนยังรู้สึกหนาวเย็นอย่างไม่สามารถอธิบาย
“ครืน…”
เสียงท้องฟ้าคำรามอย่างต่อเนื่องราวกับกองทัพขนาดใหญ่กำลังลั่นกลองสงคราม
ตั้งแต่เขาสู่ภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนใช้ทุกวินาทีในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล แต่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องหยุดมือและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
สูงขึ้นไป ฟางหยวนสามารถมองเห็นจุดแสงจำนวนมาก
หลังจากชั่วครู่จุดแสงเหล่านี้จึงร่วงหล่นลงมาบนภูเขาอี้เทียน
“มันคือภัยพิบัติพันไข่มุกแสง!” ผู้อมตะบางคนอุทานด้วยความตกใจ
“ไม่ถูกต้อง ภัยพิบัติพันไข่มุกแสงมีไข่มุกแสงเพียงหนึ่งพันชิ้น แต่นี่คือภัยพิบัติแสนไข่มุกแสง!”
“ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ผู้อมตะหลายคนงุนงง
“บางคนกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะงั้นหรือ?” กลุ่มผู้อมตะมองไปที่ภูเขาอี้เทียนด้วยความสงสัย
ฟางหยวนตื่นตัวและระวังตัวเป็นอย่างมาก
ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังตรวจสอบร่างกายของเขา
แม้เขาจะมีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ แต่แกนหลักของมันเป็นเพียงวิญญาณระดับหก มันสามารถหลอกผู้อมตะระดับหกเท่านั้น หากถูกตรวจสอบอย่างจริงจังโดยผู้อมตะระดับเจ็ดหรือแปด ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกค้นพบ
ฟางหยวนรู้สึกกังวลก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เขาไม่ถูกเปิดเผย!
“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ?” ผู้อมตะหลายคนประหลาดใจ
พวกเขาตรวจสอบทุกคนบนภูเขาอี้เทียนและบริเวณใกล้เคียงแต่ไม่มีผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอดคนใดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ
เมื่อพวกเขากำลังจะใช้วิธีการตรวจสอบที่ทรงพลังมากขึ้น ไข่มุกแสงก็มาถึงแล้ว
“เราไม่สามารถปล่อยให้ภัยพิบัตินี้ส่งผลกระทบต่อภูเขาอี้เทียน!”
“ถูกต้อง เราต้องปกป้องมัน!”
กลุ่มผู้อมตะเริ่มคาดเดาต่อไปว่าภัยพิบัติอาจเกิดจากสนามรบแห่งความโกลาหล
ในไม่ช้ากลุ่มผู้อมตะภาคใต้ทั้งหมดจึงบรรลุข้อตกลง
พวกเขาจะร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ของทุกคน
แม้ไข่มุกแสงจะมีจำนวนมาก แต่ผู้อมตะที่อยู่ที่นี่ก็มีไม่น้อย ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้มีผู้อมตะระดับแปดถึงสี่คน ผู้อมตะระดับเจ็ดจำนวนเก้าคน และผู้อมตะระดับหกอีกมากมาย
ด้วยความร่วมมือของกลุ่มผู้อมตะ ไม่มีไข่มุกแสงเม็ดใดสามารถสัมผัสภูเขาอี้เทียน
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้บ่มเพาะสันโดษระดับแปด เพิ่งซื่อหลง ลูบเคราหัวเราะ “ไม่ว่าผู้ใดที่ฉวยโอกาสนี้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขาช่างมีความคิดสร้างสรรค์นัก”
“เราต้องหาตัวคนผู้นี้ มนุษย์คนใดที่กล้าทำให้พวกเราเสียหน้า!” ผู้อมตะระดับเจ็ด อี้ฉิงเติ้ง เผยรอยยิ้มเย็นชา มนุษย์ผู้นี้ใช้ผู้อมตะเป็นโล่ป้องกันภัยพิบัติ นี่เป็นสิ่งที่ผู้อมตะไม่สามารถยอมรับ
“มนุษย์ผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้ใด? ยอมรับมา มิฉะนั้นพวกเจ้าจะสูญเสียใบหน้าหากความจริงถูกเปิดเผย” ผู้อมตะหวังไคหัวเราะเบาๆ
ผู้อมตะหลายคนมองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดยอมรับ
การแสดงออกของผู้อมตะระดับแปด เหรินอี้หยาง กลายเป็นมืดมน เขาคำราม “เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีกับตนเองและยังซ่อนตัวจากพวกเรา คิดว่าพวกเราโง่งั้นหรือ?”
“ดูนั่น ภัยพิบัติใหม่กำลังจะตกลงมาอีกครั้ง!” ผู้อมตะคนหนึ่งตะโกน
ท้องฟ้าถูกอาบย้อนด้วยสีดำ
อุณหภูมิรอบๆลดลงอย่างรวดเร็ว
หิมะและลูกเห็บร่วงหล่นลงมาราวกับพายุน้ำแข็ง
การแสดงออกของอี้ฉิงเติ้งเปลี่ยนไป เขาอุทาน “พายุน้ำแข็งแห่งความมืด!”
“ผู้ใดกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขากระทั่งดึงดูดภัยพิบัติของสุดยอดกายาทั้งสิบ!”
“ไม่ นี่ไกลเกินกว่าสุดยอดกายาทั้งสิบไปแล้ว!”
“มันมาแล้ว!”
“อดทนไว้!”
พายุน้ำแข็งแห่งความมืดเป็นหนึ่งในสิบภัยพิบัติของสุดยอดกายา
เผชิญหน้ากับภัยพิบัติชนิดนี้ ผู้อมตะหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลายคนต้องการล่าถอย
‘แปลก เพราะสนามรบแห่งความโกลาหลกำลังจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง สวรรค์จึงส่งภัยพิบัติลงมางั้นหรือ? ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีวิญญาณอมตะ ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่และเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเหล่านี้อย่างโง่งม ข้าต้องล่าถอยทันที’ กั่วหลาวคิดก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เจ้าผู้นี้ช่างวิ่งหนีได้เร็วนัก” อี้ฉิงเติ้งหัวเราะเย้ยหยัน เขายืนมือไพล่หลังอย่างสบายๆแต่เขายังสามารถรับมือพายุน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตามผู้อมตะระดับหกหลายคนเริ่มเลียนแบบกั่วหลาว
ผู้อมตะส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับล่างที่ไม่มีวิญญาณอมตะ ปราศจากวิญญาณอมตะคอยปกป้อง พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ
แต่ในเวลาต่อมา กั่วหลาวกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางกลุ่มผู้อมตะ
กั่วหลาวตะลึง!
เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
หลังจากไม่นาน ผู้อมตะระดับหกคนอื่นๆก็ถูกส่งตัวกลับมาที่นี่เช่นเดียวกัน
“มีคนซุ่มโจมตี! บางคนวางค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งห้วงมิติเอาไว้รอบๆ!” กลุ่มผู้อมตะตระหนักรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เพิ่งซื่อหลงระเบิดกลิ่นอายระดับแปดออกมาและกวาดตามองไปรอบๆ “ผู้ใด? ออกมา!”
“หึหึหึ…” เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อดังขึ้น เขาปรากฏตัวพร้อมกับผู้อมตะชุดคลุมดำอีกหลายสิบคน
ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “ทุกคน ฟังคำแนะนำของข้า ภัยพิบัติครั้งที่สามมาถึงแล้ว”
ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝูงราชสีห์
สัตว์อสูรเดียวดาย ราชสีห์ปราณ!
ราชสีห์เหล่านี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งพลังปราณ พวกมันสามารถบินได้ตั้งแต่กำเนิด
มีราชสีห์ปราณมากกว่าหกพันตัว นี่ทำให้ใบหน้าของผู้อมตะระดับหกกลายเป็นซีดเผือด
ผู้อมตะระดับแปด เจียอี้ คำรามด้วยความโกรธ “เรื่องเล็กน้อย หลบไป!”
เขาสะบัดแขนเสื้อส่งเคียววายุจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปทุกทิศทาง
ฝูงราชสีห์ปราณกรีดร้องด้วยความเจ็ดปวด หลายตัวเสียชีวิตและถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เลือดและชิ้นเนื้อสาดเทลงมาราวกับสายฝน
“เคียววายุเจียอี้ช่างแข็งแกร่งนัก” ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อเผยรอยยิ้มชื่นชม
เจียอี้ขมวดคิ้วและส่งเคียววายุพุ่งเข้าโจมตีม่านเยี่ยนซื่อ แต่ก่อนที่เคียววายุจะถึงตัวศัตรู มันกลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์โดยค่ายกลวิญญาณ
“พวกเขาคือผู้ใดและมีจุดประสงค์ใด?”
“คนกลุ่มนี้ช่างกล้าหาญนัก พวกเขากำลังรนหาที่ตาย!”
“พวกเจ้ากล้าต่อต้านผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้งั้นหรือ!?”
กลุ่มผู้อมตะต่างตะโกนสาปแช่งและรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามโดยยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ ภัยพิบัติครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“โฮก…”
เสียงฟ้าร้องราวกับมังกรคำราม
เมฆกลายเป็นสีแดงเพลิง
“เมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่!” บางคนตะโกน
“ระวังตัวให้ดี ข้าเคยเผชิญหน้ากับเมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่มาก่อน มันมีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นด้านบนจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น” ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งไฟเตือน
“ป้องกัน!”
“นอกจากนี้ยังมีภัยพิบัติมังกรคำราม มันเป็นสองภัยพิบัติในครั้งเดียว!”
“ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด!”
กลุ่มผู้อมตะร่วมมือกันต่อต้านภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
‘ภัยพิบัติเมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่ขยายวงกว้างไปไกลกว่าพันลี้ เหตุใดจึงรุนแรงนัก?’ บนภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนเฝ้ามองด้วยความตกใจ
เมฆเหล่านี้ปิดกั้นการมองเห็นของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์แต่ไม่สามารถขัดขวางการมองเห็นของฟางหยวน
ตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก
‘ดูเหมือนข้าจะตกลงสู่หลุมพรางของกลุ่มผู้อมตะชุดคลุมดำเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาดูคล้ายกับผู้อมตะชุดคลุมดำของนิกายเงาที่ไห่ลั่วหลันเคยอธิบายไว้ พวกเขากล้าต่อต้านผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้ พวกเขาพยายามทำสิ่งใด? ดูเหมือนภัยพิบัติเหล่านี้จะไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของบางคนแต่เป็นฝีมือของกลุ่มคนชุดคลุมดำ’
ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อวางค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่เอาไว้รอบๆทำให้ผู้อมตะภาคใต้ไม่สามารถหลบหนีและต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปภัยพิบัติก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งผู้อมตะระดับเจ็ดก็เริ่มรู้สึกถึงความยากลำบาก
หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง การแสดงออกของผู้อมตะระดับแปดยังเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง
“ถอยไป ให้ข้ารับมือมัน!” เพิ่งซื่อหลงตัดสินใจให้ท่าไม้ตาย
คลื่นแสงระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ห้วงมิติเกิดการสั่นสะเทือนสามครั้งก่อนจะกลับสู่เสถียรภาพ
“นี่คือค่ายกลวิญญาณใด!?” หัวใจของผู้อมตะภาคใต้จมดิ่งลง
ภัยพิบัติทั้งรุนแรงและรวดเร็วไม่ต่างจากสายฝนที่สาดเทลงมา ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่สามารถจากไป
“อดทนไว้!” เจียอี้ตะโกน “เรายังมีโอกาส! ภัยพิบัติร่วงหล่งลงมาอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ส่งผลกระทบต่อค่ายกลวิญญาณรอบๆเช่นกัน!”
ได้ยินเรื่องนี้ กลุ่มผู้อมตะเริ่มมีความหวัง
ผู้อมตะระดับหกบางคนตายไปแล้วแต่ผู้ที่เหลือรอดก็ยังไม่ยอมแพ้
หากค่ายกลวิญญาณถูกทำลาย พวกเขาจะสามารถหลบหนี
ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อเปิดปากกล่าวเบาๆ “อู๋เซี่ย”
ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นมาจากด้านหลัง
เขามีเส้นผมสีดำหยักศกที่ยาวลงมาถึงไหล่ ดวงตาของเขาส่องประกายหลากหลายสีสันราวกับวังน้ำวนที่หมุนไปอย่างไม่รู้จบสิ้น
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเผยรอยยิ้มโง่งม
“อู๋เซี่ย” ชายชราม่านเยี่ยนซื่อเรียกซ้ำอีกครั้ง
“อา…ท่านเรียกข้า ข้ากำลังชมการแสดงดอกไม้ไฟ” ผู้อมตะหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม
ม่านเยี่ยนซื่อเผยรอยยิ้มขมขื่น “นี่ไม่ใช่การแสดงดอกไม้ไฟแต่เป็นภัยพิบัติ แม้มันจะงดงามแต่มันเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งหมดนี้คือเจตจำนงสวรรค์ที่พยายามทำลายพวกเรา มันคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา”
ผู้อมตะหนุ่มตอบกลับด้วยการแสดงออกที่จริงจัง “โอ้ เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็บอกเจตจำนงสวรรค์ให้ออกมา ข้าจะจัดการมันเอง!”