กั่วหลาวยืมเงิน
แปลโดย iPAT
หลังจากก่อตั้งหมู่บ้านบนภูเขาอี้เทียน เซียวซานเชิญผู้ใช้วิญญาณปีศาจจากทุกทิศทางให้เข้าร่วม
เขามีชื่อเสียงในเรื่องคุณธรรม ดังนั้นเขาจึงได้รับความนิยมจากผู้คนทั้งฝ่ายธรรมะและปีศาจ
เซียวซานมีธรรมชาติที่ตรงไปตรงมา เขาสามารถแยกแยะความเมตตาและความเกลียดชังออกจากกันอย่างชัดเจน นี่ทำให้เขาสามารถสร้างสายสัมพันธ์และความภักดี
อีกด้านหนึ่ง ตระกูลเซียวเริ่มอ่อนแอลง พวกเขาถูกกดดันโดยตระกูลวูและกองกำลังอื่นๆ กระทั่งผู้ใช้วิญญาณปีศาจ พวกเขาก็ไม่สามารถปราบปราม โดยเฉพาะผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสี่และห้า
ผู้ใช้วิญญาณปีศาจไม่เหมือนผู้ใช้วิญญาณฝ่ายธรรมะ หากถูกกดดันมากเกินไป พวกเขาสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างไร้ปรานี
ตระกูลเซียวมีธุรกิจขบวนสินค้าเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมา เซียวซานมักจะปล่อยผ่านผู้ใช้วิญญาณปีศาจและกระทั่งให้ความช่วยเหลือพวกเขาเป็นครั้งคราว แม้เขาจะเป็นผู้นำกองกำลังฝ่ายธรรมะ แต่เขาก็ได้รับการยกย่องและนับถือจากผู้ใช้วิญญาณปีศาจหลายคน
ทั้งหมดทำให้เซียวซานมีกองกำลังที่แข็งแกร่งสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เมื่อข่าวการก่อตั้งหมู่บ้านอี้เทียนกระจายออกไป ผู้คนมากมายจึงมารวมตัวกัน
แน่นอนว่ามีตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะแฝงตัวอยู่
ในเวลาเพียงหกถึงเจ็ดวัน หมู่บ้านอี้เทียนก็มีสมาชิกมากกว่าสามสิบคน ความเร็วดังกล่าวกระทั่งเซียวซานยังรู้สึกตกใจ
เมื่อผู้คนมารวมตัวกัน มันจึงกลายเป็นองค์กร
องค์กรใดๆก็ตามล้วนต้องมีตำแหน่งและสถานะ
ในโลกของผู้ใช้วิญญาณ ผู้แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ
ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ ไม่เพียงเซียวซานจะแข็งแกร่งที่สุดแต่เขายังมีชื่อเสียงที่ดี ดังนั้นเขาจึงได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
พี่น้องร่วมสาบานของเขา ซันเพิ่งหูและจ้าวซิงซิงได้รับตำแหน่งรองลงมาตามลำดับเพราะพวกเขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาชิกทั้งหมด
สำหรับคนอื่นๆ ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองและสาม มีผู้ใช้วิญญาณระดับสี่อยู่ไม่กี่คน สถานะของพวกเขาถูกจัดเรียงตามระดับการบ่มเพาะและความแข็งแกร่ง
ในถ้ำบนภูเขา ฟางหยวนนั่งดื่มสุราอยู่กับผู้อมตะคนหนึ่ง
ชายผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหกที่มีศีรษะขนาดใหญ่และค่อนข้างแก่ชรา เขาชื่อกั่วหลาว
“พี่เจิ้งอิง ลองดื่มสุราผลไม้ของข้าดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” กั่วหลาวกระตุ้นให้ฟางหยวนดื่ม
ฟางหยวนเข้าใจเจตนาของกั่วหลาว ดังนั้นเขาจึงยกจอกสุราขึ้นดื่มและพยักหน้า “ไม่เลว ไม่เลว”
แม้เขาจะกล่าวว่า “ไม่เลว” แต่การแสดงออกของเขาชัดเจนว่าไม่เต็มใจกล่าว
กั่วหลาวหัวเราะเบาๆก่อนจะชี้ไปข้างนอก “ข้าสงสัยว่าพี่เจิ้งอิงคิดเห็นเช่นไรกับการแข่งขันครั้งนี้”
ฟางหยวนตอบอย่างใจเย็น “ยังไม่ต้องคิดว่าสนามรบแห่งความโกลาหลจะเป็นของผู้ใด แต่ทุกคนร่วมทำข้อตกลง ดังนั้นมันย่อมไม่มีปัญหา”
ในอดีตฝ่ายธรรมะมักเหนือกว่าฝ่ายปีศาจเสมอไม่ว่าจะเป็นโลกของมนุษย์หรือโลกของผู้อมตะ
แต่ตอนนี้เป็นข้อยกเว้น
การปรากฏขึ้นของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลทำให้โลกของผู้อมตะสั่นสะเทือน ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษปรากฏตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พวกเขากลายเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่ทำให้ฝ่ายธรรมะต้องประนีประนอมและสร้างข้อตกลงเพื่อทำการแข่งขันที่เท่าเทียม
วิธีการแข่งขันก็คือใช้มนุษย์เป็นตัวแทนเพื่อเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนและปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะ
แต่ในการแข่งขันนี้ยังมีเงื่อนไขบางอย่าง
ผู้อมตะทุกคนที่ต้องการเข้าสู่การแข่งขันต้องวางสิ่งเดิมพัน ยิ่งวางเดิมพันมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถส่งผู้ใช้วิญญาณมนุษย์เข้าสู่สนามประลองได้มากเท่านั้น
สุดท้ายเมื่อการแข่งขันสิ้นสุด ของเดิมพันจะถูกแบ่งปัน
ผู้อมตะแต่ละคนจะได้รับส่วนแบ่งตามการจัดลำดับ ยิ่งปรับแต่งวิญญาณได้มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งได้รับส่วนแบ่งมากเท่านั้น
ผู้ที่สามารถปรับแต่งได้มากกว่าห้าสิบส่วนจะเป็นผู้ชนะและสามารถครอบครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะ
สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาจะได้รับกำไรจากของเดิมพันมากน้อยตามความสามารถ
นี่ถือเป็นข้อตกลงที่ดีมาก
เพราะมันทำให้ผู้อมตะทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรือปีศาจ มิตรหรือศัตรู ต่างต้องทุ่มเทความพยายามและทำงานร่วมกันโดยไม่รู้ตัว
ผู้ใดที่พยายามใช้ลูกไม้สกปรกจะถูกยึดของเดิมพันและไม่ได้รับสิ่งใดเลย
ผู้อมตะที่มาภายหลังสามารถเข้าร่วมได้แต่ต้องวางของเดิมพันเช่นกัน
นอกจากนั้นเมื่อการแข่งขันดำเนินไปแล้ว หากผู้อมตะต้องการวางของเดิมพันเพิ่มก็สามารถทำได้
กั่วหลาวที่อยู่ตรงหน้าฟางหยวนเป็นคนหนึ่งที่ต้องการวางของเดิมพันเพิ่ม
แต่เขายังขาดเงินทุน
หลายวันมานี้เขาขอยืมเงินจากหลายคนและวันนี้เขาก็มายืมเงินฟางหยวน
ฟางหยวนมองผ่านกั่วหลาวอย่างไม่แยแส กั่วหลาวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกล่าวถึงเรื่องการแข่งขัน
ฟางหยวนกล่าวโดยไม่ได้คิดมากแต่กั่วหลาวยังยกนิ้วชื่นชม “พี่เจิ้งอิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว การแข่งขันนี้ไม่สามารถทำลายได้ หากผู้ใดทำลายมัน พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของผู้อมตะทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงต้องหาเงินทุนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันอย่างซื่อสัตย์”
“ตอนนี้การแข่งขันพึ่งเริ่มต้น แต่ผู้อมตะตระกูลเซียวก็นำเซียวซานตัวหมากเบี้ยของเขามาแล้ว นั่นทำให้เขากลายเป็นคนแรกที่สามารถปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ตราบเท่าที่เซียวซานยังไม่ตาย ผู้อมตะตระกูลเซียวก็ยังสามารถปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะได้อย่างต่อเนื่อง”
ฟางหยวนมองกั่วหลาวและกล่าว “เซียวซานเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าและเป็นคนแรกที่มาถึง เป็นธรรมดาที่ผู้อมตะตระกูลเซียวจะได้เปรียบ แต่เขาก็ต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล เขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ของเดิมพันของเขากลับเป็นสิ่งที่ผู้อมตะระดับแปดยังไม่สามารถเปรียบเทียบ”
กั่วหลาวพยักหน้าซ้ำๆและแสยะยิ้มที่เผยให้เห็นฟันสีเหลือง “ถูกต้อง ยิ่งเราวางตัวหมากเบี้ยไว้บนภูเขาอี้เทียนได้เร็วเท่าใด เราก็จะได้รับประโยชน์เท่านั้น แน่นอนว่าตัวหมากเบี้ยเหล่านี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ มิฉะนั้นพวกเขาจะตายอย่างรวดเร็วและทำให้เราพบกับความสูญเสีย พี่เจิ้งอิง ข้าจะไม่ปิดบังจากท่าน ข้าปวดใจมากที่ไม่สามารถวางเดิมพันด้วยตนเอง ข้ายากจนเกินไป ไม่ทราบว่าพี่เจิ้งอิงจะให้ข้ายืมทรัพยากรอมตะสักเล็กน้อยได้หรือไม่? หลังจากเรื่องนี้จบลง ข้าจะคืนให้เป็นสองเท่า!”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้ม “แน่นอน”
กั่วหลาวเต็มไปด้วยความสุขและกำลังจะกล่าวขอบคุณแต่ฟางหยวนกลับขัดจังหวะ “แต่เราต้องทำข้อตกลง”
“นี่เป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งจำเป็น!” กั่วหลาวเร่งพยักหน้า
ฟางหยวนกล่าวต่อ “นอกจากนั้นเจ้าต้องนำวิญญาณอมตะมาเป็นหลักประกัน”
การแสดงออกของกั่วหลาวเปลี่ยนทันที “พี่เจิ้งอิง นี่เป็นเรื่องตลกหรือไม่? หากข้ามีวิญญาณอมตะ เหตุใดข้าต้องมาที่นี่?”
ใบหน้าของฟางหยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “กั่วหลาว เจ้าไม่มีวิญญาณอมตะแม้แต่ดวงเดียวแต่กลับต้องการยึดครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะงั้นหรือ? เจ้ากำลังฝันไปหรือไม่?”
“เจิ้งอิง! เจ้า!” กั่วหลาวโกรธมากแต่ในจังหวะนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจากร่างของฟางหยวน
‘เขามีวิญญาณอมตะจริงๆ!’ หัวใจของกั่วหลาวจมดิ่งลง
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของกั่วหลาว โดยปกติคนที่สามารถครอบครองวิญญาณอมตะมักจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
แต่ฟางหยวนที่ไร้ชื่อเสียงกลับมีวิญญาณอมตะในการครอบครองและนี่ทำให้กั่วหลาวรู้สึกหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยวิญญาณอมตะ พลังการต่อสู้ของผู้อมตะจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เจิ้งอิงที่มีวิญญาณอมตะไม่ใช่คนที่กั่วหลาวจะสามารถจัดการได้
กั่วหลาวไม่ได้ปลดปล่อยความโกรธออกมา เขาป้องหมัดและฝืนยิ้ม “ข้าล่วงเกินแล้ว พี่เจิ้งอิง โปรดอย่างถือสาต่อความหยาบคายของข้า”
ฟางหยวนก่นเสียงเย็น “เจ้าออกไปได้แล้ว”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ลาก่อน” กั่วหลาวฝืนยิ้มและก้าวถอยหลังสองสามก้าวก่อนจะจากไปโดยไม่กล้าอ้อยอิ่ง
เมื่อกั่วหลาวออกจากถ้ำ ใบหน้าของเขาจึงถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความอับอาย
เขาคำรามในใจ ‘ฮืม การมีวิญญาณอมตะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมนัก! ข้าจะจำความอัปยศครั้งนี้เอาไว้ วันหนึ่งหากข้าสามารถครอบครองวิญญาณอมตะ ข้าจะมาส่งคืนความอัปยศให้กับเจ้า!’
ภายในถ้ำ ฟางหยวนกำลังคิด
เรื่องของกั่วหลาวทำให้เขาตระหนักถึงการเคลื่อนไหวของผู้อมตะระดับล่างที่มีอยู่มากมาย
คนเหล่านี้ไม่มีวิญญาณอมตะ ดังนั้นพวกเขาจึงกระหายที่จะมีส่วนร่วมในการแข่งขัน พวกเขารู้ดีว่าความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่สามารถได้มาโดยง่าย แต่ผู้ใดจะไม่ต้องการความก้าวหน้าและร่ำรวยภายในชั่วข้ามคืน
การแข่งขันครั้งนี้ตอบสนองต่อความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ในสถานการณ์ปกติ ผู้อมตะระดับล่างจะไม่สามารถแข่งขันกับผู้อมตะระดับสูง
แต่ครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับพลังการต่อสู้ นี่ทำให้ผู้อมตะระดับล่างรู้สึกมีความหวัง
บุคคลเช่นกั่วหลาวมีอยู่ไม่น้อย
ฟางหยวนคิดต่อไปถึงผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเซียว
ตามข่าวลือเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ เขาแทบไม่สามารถก้าวผ่านภัยพิบัติครั้งล่าสุด ความแข็งแกร่งของเขายังไม่ฟื้นคืน ในภัยพิบัติครั้งต่อไป เขาจะตายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามการแข่งขันครั้งนี้ทำให้เขามีความหวัง
หากเขาได้รับคฤหาสน์วิญญาณอมตะ เขาจะสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ
ดังนั้นเขาจึงวางเดิมพันด้วยทุกสิ่งและทำให้เขาสามารถเลือกตัวหมากเบี้ยได้สองตัว
นอกจากนี้ตัวหมากทั้งสองของเขายังเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า เซียวซานเข้าสู่สนามประลองเรียบร้อยแล้ว สำหรับเซียวเมิ้ง เขาจะเข้าสู่สนามประลองในอนาคต
นี่ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวมีข้อได้เปรียบอย่างมาก
‘ครั้งนี้ข้าจงใจปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะออกมาเพื่อให้ผู้อมตะคนอื่นๆระวังตัวและไม่คิดว่าข้าอ่อนแอ’
‘ข้าต้องเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้อย่างถูกต้อง นอกจากผลประโยชน์ ข้ายังจะได้เรียนรู้โครงสร้างโลกของผู้อมตะภาคใต้อย่างใกล้ชิด’
‘สำหรับตัวหมากที่ข้าจะใช้ บางทีข้าอาจสามารถลงสนามด้วยตนเอง…’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น