เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1233 การรวมตัวของผู้อมตะภาคกลาง
แปลโดย iPAT
ภาคกลาง หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“ครืน …”
เสียงดังขึ้นบนภูเขา
หินและดินถล่มลงมาราวกับคลื่นน้ำ
“หนี ! รักษาชีวิต !”
“ข้าจะตาย ! ข้ากำลังจะตาย !”
“ท่านพ่อ ท่านอยู่ที่ใด อย่าทิ้งข้า !”
หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบตกสู่ความสับสนวุ่นวาย
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง บางคนนอนอยู่บนพื้นด้วยความสิ้นหวัง เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นภายใต้อ้อมกอดของมารดา หลายคนยอมแพ้ต่อภัยพิบัติครั้งนี้ไปแล้ว
ในสถานการณ์นี้มีร่างหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า
มันคือผู้อมตะระดับเจ็ด !
เขาอยู่ในชุดคลุมสีฟ้า ผมยาวถึงไหล่ และดูค่อนข้างบอบบาง
เขาขมวดคิ้วและพึมพำ “การไหลของดินโคลนเหล่านี้ค่อนข้างแปลก ”
โดยปกติโคลนจะไหลลงมาเพราะฝนตกหนัก แต่ตอนนี้อากาศแจ่มใสมาก
ความจริงก็คือสภาพแวดล้อมในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ถูกจัดการอย่างลับๆโดยผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ เขามั่นใจว่าที่นี่จะมีฝนและแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
“บึม !”
ทันใดนั้นหินสีเหลืองทองพลันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองไปที่ฉากนี้
เขาขมวดคิ้วก่อนจะคลายมันออก “โอ้ มันคือปูบึง ”
ปูบึงเป็นสัตว์อสูรเดียวดายที่มีร่างกายปกคลุมด้วยเปลือกแข็ง มันปราศจากดวงตา นั่นทำให้มันไร้จุดอ่อน
มันเป็นราชาแห่งหนองน้ำ
ก้ามปูของมันเหมือนเสาเหล็กปลายแหลมที่ดูราวกับสามารถแยกภูเขาหรือผ่าร่างมังกร เท้าของมันหนาราวกับต้นไม้อายุมากกว่าร้อยปีและยังแหลมคมมาก
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองปูบึงตัวนี้และรู้สึกยินดี
เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารี ส่วนปูบึงตัวนี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งวารีและปฐพี การฆ่ามันจะทำให้เขาได้รับทรัพยากรอมตะ
“แต่ปูบึงตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรเดียวดาย หากข้าเลี้ยงดูมันให้ดี มันอาจเติบโตขึ้นเป็นปูบึงบรรพกาลหรืออาจเป็นได้ถึงปูบึงแรกกำเนิด แต่หยุดฝันถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดไปก่อน มิติช่องว่างของข้าไม่สามารถรองรับสัตว์อสูรแรกกำเนิด อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าควรจับมันก่อนเป็นอันดับแรก ”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าก็เริ่มโจมตีทันที
เขายื่นมือออกจากแขนเสื้อและเผยให้เห็นผิวสีขาวซีดกับนิ้วอันเรียวยาวของเขา
นิ้วทั้งสิบของเขาเคลื่อนไหวไปรอบๆอย่างงดงามและสร้างแสงหลากหลายสีขึ้น
นี่เป็นวิธีจัดการวิญญาณเฉพาะตัวของเขา
กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาจากร่างกายของเขาและกระจายออกไปรอบๆ
ปูบึงไม่มีดวงตาแต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้มันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม
ปูบึงเร่งล่าถอย
เปลือกสีเหลืองทองของมันเริ่มจมลงสู่พื้นโคลน
แต่การจัดเตรียมของผู้อมตะระดับเจ็ดชุนคลุมฟ้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่าไม้ตายอมตะของเขาถูกปลดปล่อยออกมา
คลื่นน้ำพุ่งเข้าโจมตีปูบึง
ปูบึงไม่สามารถหลบและถูกคลื่นซัดสาด แต่ร่างกายของมันยังไม่ขยับเขยื้อน
ริมฝีปากของผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้ายกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นิ้วทั้งสิบของเขาขยับอย่างรวดเร็วและทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง
นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ไม่ธรรมดา
ลูกพลัมแดงอมตะของเขาถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำสีฟ้าอ่อนเปลี่ยนเป็นคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มและมีพลังเพิ่มขึ้นสามเท่า
เกลียวคลื่นก่อตัวขึ้นภายใต้การชักใยของผู้อมตะระดับเจ็ด
ปูบึงไม่สามาถต่อต้าน ร่างกายที่ใหญ่โตของมันหมุนรอบตัวเองอย่างไม่สามารถควบคุม
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าเคลื่อนไหวอีกครั้งและสร้างคลื่นยักษ์ขึ้น
“ตูม !”
คลื่นยักษ์พุ่งเข้าปะทะแผ่นหลังของปูบึง
เปลือกของปูบึงแข็งมากแต่ภายใต้พลังอำนาจของคลื่นยักษ์ มันกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้น
ปูบึงหมดสติลงทันที
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าหัวเราะเสียงดัง เขายกนิ้วชี้ขึ้น
คลื่นน้ำปะทุขึ้นราวกับน้ำพุธรรมชาติและส่งร่างของปูบึงเคลื่อนที่เข้ามาหาผู้อมตะระดับเจ็ด
ผู้อมตะระดับเจ็ดเปิดทางเข้ามิติช่องว่างของตนและส่งปูบึงเข้าไป
“ผู้อมตะ ! ผู้อมตะ !”
“ขอบคุณนายท่านผู้อมตะที่ช่วยหมู่บ้านของพวกเรา !”
“นายท่านผู้อมตะสามารถกำหราบสัตว์ประหลาดภูเขา !”
การต่อสู้ครั้งใหญ่ทำให้มนุษย์ในหมู่บ้านตกตะลึง
หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาจึงตอบสนองด้วยการโห่ร้องและกราบไหว้
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าเผยรอยยิ้มบางขณะมองลงไปที่ผู้คนด้านล่าง
ปรากฏว่าระหว่างที่เขาต่อสู้กับปูบึง เขายังแบ่งความสนใจไปจัดการดินโคลนที่ถล่มจากภูเขา
“ดังคาด สมกับเป็น ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารีที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง มู่หลิงหลาน ” เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังลงมาจากก้อนเมฆด้านบน
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าขยับนิ้วเก็บน้ำทั้งหมดกลับไป
จากนั้นเขาก็บินเข้าไปในกลุ่มเมฆเพื่อพบกับผู้อมตะอีกคน
ผู้อมตะผู้นี้อยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม คิ้วหนา ดั้งจมูกสูง และดูเที่ยงธรรม
มู่หลิงหลานยิ้มและทักทาย “ผู้อาวุโสซือเก้อมาแล้ว ”
ซือเก้อทักทายตอบ “ข้าพึ่งมาถึง แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะได้เห็นวิธีการกำหราบปูบึงของเจ้า ”
มู่หลิงหลานโบกมืออย่างอ่อนน้อม “วิธีการของข้าเป็นเพียงกลเล็กๆสำหรับท่าน แต่ผู้อาวุโสซือเก้อ ข้าได้ยินว่าท่านได้รับคำสั่งจากวังสวรรค์ให้เข้าร่วมการต่อสู้ที่ภาคเหนือ?”
ซือเก้อพยักหน้า “ถูกต้อง มู่หลิงหลาน เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเราไม่ไปพร้อมกัน ”
มู่หลิงหลานตอบ “เป็นเกียรติสำหรับข้าที่ได้เดินทางร่วมกับผู้อาวุโส ”
ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางพร้อมกัน
มนุษย์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง พวกเขามองดูท้องฟ้าและถอนหายใจ
มู่หลิงหลานและซือเก้อพูดคุยกันตลอดทาง
แม้พวกเขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ซือเก้ออาวุดสกว่า เขาผ่านภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วสองครั้งขณะที่มู่หลิงหลานยังไม่ผ่านภัยพิบัติใหญ่ครั้งแรก ดังนั้นมู่หลิงหลานจึงขอคำแนะนำขณะที่ซือเก้อชี้แนะบางสิ่งกับเขา
อย่างไรก็ตามระหว่างทางซือเก้อกลับบินลงไปด้านล่างอย่างกะทันหันขณะที่มู่หลิงหลานลอยอยู่กลางอากาศ
มู่หลิงหลานไม่เข้าใจ ที่นี่ไม่ใช่จุดรวมตัว
ซือเก้อยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้ามีบุตรชายชื่อเจิ้งอี้ เขาพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขายังขาดประสบการณ์และยังเด็กมาก ข้าตั้งใจจะพาเขาไปเที่ยวที่ภาคเหนือด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์”
“เป็นเช่นนั้น ” มู่หลิงหลานเข้าใจในที่สุด
ด้านล่างมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่
ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งมีนักเล่านิทานกำลังเล่านิทานเกี่ยวกับความยุติธรรมและความกล้าหาญ
“ดี ฆ่ามัน !” ท่ามกลางผู้ฟังมากมาย มีเด็กหนุ่มคิ้วหนาผู้หนึ่งแต่งตัวเหมือนชาวนา เขาปรบมืออย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องราวของตัวเอกที่สังหารคนรวยและช่วยเหลือคนจน
เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มทำให้ผ้าม่านสั่นสะเทือนเล็กน้อย
นักเล่านิทานตกใจและหยุดพูดชั่วคราว
ผู้ฟังพึมพำอย่างไม่มีความสุข “เจ้าจะกรีดร้องเพื่อสิ่งใด ?”
“เสียงกรีดร้องของเจ้าแทบทำให้พวกเราตกใจกลัว !”
“เหตุใดต้องกรีดร้อง ฟังอย่างเงียบๆ มิฉะนั้นพวกเราจะไล่เจ้าออกไป เจ้าชาวนาตัวน้อย !”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นแดงก่ำ เขาเกาศีรษะและมองไปรอบๆด้วยความลำบากใจ “ขอโทษทุกท่านด้วย ”
เด็กหนุ่มค่อยๆนั่งลง แต่ทันใดนั้นการแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เขาผุดลุกขึ้นและทำให้โต๊ะพลิกคว่ำ นี่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
“เกิดสิ่งใดขึ้นอีก เจ้าเด็กบ้า !”
“เจ้าเด็กบ้า อยากเจ็บตัวงั้นหรือ ?”
ผู้คนรอบๆโกรธมาก แต่ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มกลับส่องประกาบขึ้นขณะที่เขาพุ่งออกจากโรงเตี้ยมราวกับลูกศรและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
โรงเตี้ยมตกสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้คนแตกตื่นและส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ
เด็กหนุ่มบินเข้าไปหาซือเก้อกับมู่หลิงหลานและป้องหมัดขึ้นทักทายอย่างสุภาพ
เขาเป็นบุตรของซือเก้อ ซือเจิ้งอี้
ผู้อมตะทั้งสามเดินทางต่อไปอีกไม่กี่วันก่อนจะบรรลุถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง
มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่
มันเป็นศาลาที่งดงามที่แขวนกรงนกจำนวนมากเอาไว้ขณะเดียวกันก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะของนิกายบัวสวรรค์ ศาลานกขมิ้น
ซือเก้อพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะจะถูกส่งออกมา แต่ผู้ใดจะคิดว่าวังสวรรค์จะเลือกศาลานกขมิ้น นี่เป็นทางเลือกที่ดี ”
มู่หลิงหลานกล่าวเสริม “นิกายบัวสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ พวกเขามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับสูงหลายหลัง แต่ดูเหมือนพวกเขาจะนำออกมาเพียงหลังเดียว ”
ซือเจิ้งอี้ถามด้วยความสับสน “นิกายบัวสวรรค์มีศาลานกขมิ้น วังเย่หยาง และสระสวรรค์ นอกจากนี้พวกเขายังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่อีกงั้นหรือ ?”
มู่หลิงหลานยิ้ม “เสี่ยวอี้ เจ้าอาจไม่รู้ ในปัจจุบันนิกายบัวสวรรค์สามารถสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่ขึ้นมาแล้วแต่มันถูกเก็บเป็นความลับ”
ซือเจิ้งอี้ได้ยินเรื่องนี้และคิด ‘ผู้อาวุโสมู่หลิงหลานมาจากนิกายผีเสื้อจิตวิญญาณ นิกายนี้มีทักษะที่โดดเด่นด้านการรวบรวมข้อมูล มันไม่แปลกหากเขาจะรู้ความลับบางอย่าง แต่นิกายบัวสวรรค์มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ ’