เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1309 ท้าประลอง
แปลโดย iPAT
ท้าประลอง ?
การตัดสินด้วยการต่อสู้เป็นวิธีที่ดีกว่าการพูดคุย
แต่การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างจากการต่อสู้ของฝ่ายปีศาจ เมื่อสมาชิกบนเส้นทางสายปีศาจต่อสู้ มันคือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาจะต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดต้องต่อสู้จนถึงความตาย ? เพียงตัดสินแพ้ชนะก็เพียงพอแล้ว
นี่เป็นสาเหตุที่ฟางหยวนตั้งใจถ่วงเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาของยอดเขาเยือกแข็ง ผู้อมตะตระกูลเซี่ยถูกบังคับให้ใช้วิธีนี้ในการตัดสิน
หากเป็นโลกมนุษย เมื่อการเจรจาล้มเหลว แต่ละประเทศจะส่งกองกำลังออกไป
มันคือสิ่งเดียวกัน
คำกล่าวของเซี่ยเฟยกุ้ยค่อนข้างน่าสนใจ เขาเป็นตัวแทนของตระกูลเซี่ยและยังกล่าวว่าวูอี้ไห่เป็นเกียรติของตระกูลวู ดังนั้นมันจึงถือเป็นการแข่งขันระหว่างสองตระกูล
ถ้อยคำเหล่านี้บังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่ทางตัน หากเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ มันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตระกูลวู เขาจะถูกปฏิบัติเหมือนคนขี้ขลาด
แต่สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยไม่รู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่วูอี้ไห่ เขาไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองหรือชื่อเสียงของตระกูล
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาแสดงเป็นวูอี้ไห่ เขายังต้องการเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน ดังนั้นเขาจึงต้องยอมรับคำท้าทายนี้
เขาคิดก่อนกล่าว “หากมันเป็นการท้าประลอง พวกเจ้ามีคนมากกว่า ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบและจะพ่ายแพ้ในที่สุด ”
การแสดงออกของเซี่ยเฟยกุ้ยเปลี่ยนไป
นี่เป็นคำกล่าวที่ชั่วร้าย
ในการประลอง หากฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะด้วยการเอาเปรียบและไม่เป็นธรรม มันจะทำให้พวกเขาสูญเสียใบหน้า พวกเขาจะไม่สามารถเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยกุ้ยไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้สองต่อหนึ่ง เขาเร่งกล่าว “อย่ากังวล ข้าจะสู้กับเจ้าเพียงผู้เดียว ”
ฟางหยวนแสดงออกด้วยความไม่เต็มใจ เขากล่าว “เมื่อท่านต้องการประลอง ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธ แต่เมื่อมันเป็นการประลอง มันย่อมต้องมีเวลาที่จำกัด ถูกต้อง เราไม่สามารถต่อสู้ได้ตลอดไป ”
“เจ้าคิดอย่างไร ?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม
การประลองต้องมีกฎ มันแตกต่างจากการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย
ฟางหยวนกล่าว “ท่านโจมตีและข้าป้องกัน ตราบเท่าที่ท่านสามารถทำลายการป้องกันของข้าได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้ ”
เปลือกตาของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก เขาตอบ “ตกลง ”
เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่เนื่องจากเซี่ยเฟยกุ้ยตกลงไปแล้ว พวกเขาต้องประนีประนอมขณะที่เขายังมั่นใจในความสามารถของเซี่ยเฟยกุ้ย
ยอดเขาเยือกแข็งไม่ใช่สถานที่สำหรับการต่อสู้ การทำลายมันจะทำให้ภารกิจล้มเหลว
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบินไปยังยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง
ฟางหยวนยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเฟยกุ้ย
“เริ่ม !” เซี่ยเฟยกุ้ยแทบรอไม่ไหว เขาต้องการมอบบทเรียนให้กับฟางหยวนอย่างรวดเร็วที่สุด
ท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดของภาคใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ในตระกูลวู นอกจากวูหยง ผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดคือวูอวี้ป๋อ ขณะที่วูอี้ป๋อเหนือกว่าเซี่ยเฟยกุ้ยเพียงเล็กน้อย ตอนนี้วูอวี้ป๋อปิดประตูฝึกตน แล้วเซี่ยเฟยกุ้ยจะต้องกลัวผู้ใด ?
กล่าวได้ว่าการสนับสนุนเยี่ยนฮวงของตระกูลเซี่ยถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด
ในแง่ของพลังการต่อสู้ เยี่ยนฮวงไม่สามารถแข่งขันกับวูอวี้ป๋อ แต่ตระกูลเซี่ยสามารถทำลายท่าไม้ตายอมตะของวูอวี้ป๋อ นี่ทำให้วูอวี้ป๋อตกลงสู่กับดักและพ่ายแพ้ในที่สุด
“รอก่อน ” ฟางหยวนกล่าว
เซี่ยเฟยกุ้ยพร้อมต่อสู้แต่คำกล่าวของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกอึดอัด เขาตะโกน “วูอี้ไห่ เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ?”
“นี่คือการประลอง เราจะทำแบบลวกๆไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่ ?” ฟางหยวนยิ้ม
เซี่ยเฟยกุ้ยคิด ‘ฮืม การมอบบทเรียนให้เจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด !’
เขาคิดเช่นนี้แต่เขาไม่ได้กล่าวออกมา
ผู้อมตะมีวิธีบันทึกฉากเหตุการณ์ต่างๆเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างเยี่ยนฮวงกับวูอวี้ป๋อ หลังจากการต่อสู้จบลง มันก็ถูกเผยแพร่ออกไป
เซี่ยเฟยกุ้ยโกรธจัด “เจ้าต้องการสิ่งใด ?”
“ง่ายมาก หากข้าชนะ สถานะเดิมของยอดเขาเยือกแข็งจะยังอยู่ มันจะเป็นของเรา ” ฟางหยวนกล่าว
“เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?” เซี่ยจ้าวโม่กังวล
ตระกูลเซี่ยตั้งใจสร้างปัญหา พวกเขามีทายาทของจางซานเฟิงและมีเหตุผลที่ได้เปรียบ ตระกูลวูถูกบังคับให้อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถโต้ตอบ ดังนั้นหากตระกูลเซี่ยยอมรับเงื่อนไขนี้ พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันไม่ใช่เรื่องฉลาด
เซี่ยเฟยกุ้ยกัดฟัน “ข้าไม่ได้โง่ ”
ในเวลาเดียวกันเขาก็ปฏิเสธ “ไม่มีทาง !”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถต่อสู้ การประลองครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ ” ฟางหยวนโบกมือและหันหลังเดินออกไป
พวกเขาออกจากยอดเขาเยือกแข็งและเดินทางมาถึงที่นี่หลังจากประสบปัญหามากมายแต่การต่อสู้จะยกเลิกอย่างง่ายดายเช่นนี้งั้นหรือ?
ล้อเล่นหรือไม่ ?
ใบหน้าของเซี่ยเฟยกุ้ยกลายเป็นเคร่งขรึม “วูอี้ไห่ออกไปโดยไม่ต่อสู้ นี่คือความกล้าหาญและศักดิ์ศรีของตระกูลวูงั้นหรือ ?”
ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว
เซี่ยเฟยกุ้ยเผยรอยยิ้มเย็นชา
ฟางหยวนหันหลังกลับและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “ท่านกล่าวผิดแล้ว ข้าไม่ได้หลบหนีการประลอง แต่พวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า เนื่องจากการเจรจาล้มเหลว มันไม่ได้หมายความว่าข้ากำลังวิ่งหนี ดูสิ ข้ากระทั่งเป็นคนเลือกสถานที่สำหรับการประลองครั้งนี้ด้วยตนเอง ”
“เจ้า !” คำกล่าวเหล่านี้ทำให้เซี่ยจ้าวโม่ที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างรู้สึกโกรธ
ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบสามารถพ่นไฟออกมา
เขามองฟาหงยวนและคิดว่าตระกูลวูผลิตคนไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? โดยปกติผู้อมตะตระกูลวูมักใจร้อนและกระตือรือร้นที่จะต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหามิใช่หรือ? ความกล้าหาญและจิตวิญญาณของตระกูลวูอยู่ที่ใด ? มันอยู่ที่ใด !?
แต่ในไม่ช้าเซี่ยเฟยกุ้ยก็นึกถึงที่มาของฟางหยวน
แท้จริงแล้ววูอี้ไห่ไม่ใช่ผู้อมตะตระกูลวูตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออก
ผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไร้ยางอาย !
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างมีความหมาย “เนื่องจากเราไม่สามารถประลอง ดังนั้นเรามาพูดคุยและดื่มชากันต่อเถอะ ข้าต้องบอกว่าชาสี่ฤดูของท่านเลิศรสมาก ข้าแทบไม่สามารถอดใจรอได้อีก ”
“ดื่มชาอันใด !? พูดคุยสิ่งใด !?” เซี่ยเฟยกุ้ยอยากบีบคอฟางหยวนให้ตายไปเดี๋ยวนี้ หน้าอกของเขาร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธ
เซี่ยจ้าวโม่มองเซี่ยเฟยกุ้ยด้วยความขมขื่นและคิด ‘ท่านไม่ใช่คนที่มอบใบชาให้เขาก่อนหน้านี้งั้นหรือ ?’
ฟางหยวนพึมพำกับตนเองก่อนกล่าว “เช่นนี้เป็นอย่างไร ? หากข้าชนะ ภายในห้าปีนี้ ยอดเขาเยือกแข็งจะยังคงสถานะเดิม พวกท่านจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันอีกในช่วงเวลานี้ นี่เป็นอย่างไร ?”
“นี่ …” เซี่ยจ้าวโม่เริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน
ข้อเสนอนี้ของฟางหยวนสามารถยอมรับได้มากกว่าเงื่อนไขก่อนหน้า
‘แต่มันอาจเป็นแผนการของวูอี้ไห่ ’ เซี่ยจ้าวโม่ยังคิด
แต่เซี่ยเฟยกุ้ยตอบรับทันที “ตกลง ข้าเห็นด้วย !”
เซี่ยจ้าวโม่ตกตะลึงและเร่งส่งสัญญาณ “ท่านเซี่ยเฟยกุ้ย ท่าน …”
“เราจะไม่เสียเวลากับคนสารเลวผู้นี้อีก ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว มันไม่เกี่ยวกับเจ้า !” เซี่ยเฟยกุ้ยตอบอย่างเฉียบขาด เขามีความมั่นใจมาก
เซี่ยจ้าวโม่เผยรอยยิ้มขมขื่น
‘หากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยพ่ายแพ้ แม้เขาจะรับผิดชอบ แต่ข้าจะหนีจากมันได้งั้นหรือ ? ตระกูลส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยแนะนำเขามิใช่หรือ ? เห้อ …’ เซี่ยจ้าวโม่ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน
เขาถ่ายทอดเสียง “เช่นนั้นข้าก็หวังว่าท่านจะได้รับชัยชนะ ”
“พวกท่านทั้งสองแน่ใจหรือไม่ ?” ฟางหยวนถาม
วิธีนี้จะช่วยยื้อเวลาให้กับตระกูลวู
แต่หลังจากห้าปี ฟางหยวนจะจัดการเรื่องของเขาให้เสร็จ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขายังต้องสนใจตระกูลวูอีกงั้นหรือ ?
“เราแน่ใจ ” คราวนี้เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้กล่าวแต่เป็นเซี่ยจ้าวโม่
“ตกลง ” ฟางหยวนค่อยๆบินกลับไปและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “แท้จริงแล้วข้าไม่ต้องการทะเลาะวิวาท มันจะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เนื่องจากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยยืนกรานในนามของชาสี่ฤดู ข้าก็คงต้องยอมรับคำขอของท่าน ”
“หยุดพูดถึงชานั่นแล้วมาต่อสู้ !” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค ร่างของฟางหยวนก็ส่องประกายขึ้นและเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ไปแล้ว
เซี่ยเฟยกุ้ยตะลึง ก่อนหน้านี้ฟางหยวนใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระมากมาย แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มเข้าสู่การต่อสู้อย่างรวดเร็ว มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
“เต่าพยากรณ์อีกครั้ง !” เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว
ร่างใหญ่โตของเต่าพยากรณ์ยึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของยอดเขา
มันเป็นเต่าสีเข้ม กระดองของมันส่องประกายระยิบระยับและเต็มไปด้วยลวดลายนับพันนับหมื่นที่ทำให้เซี่ยจ้าวโม่รู้สึกเวียนศีรษะเมื่อมองดู ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องหยุดมองมัน
เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะใช้ท่าไม้ตายอมตะตั้งแต่แรก
โดยปกติผู้อมตะจะตรวจสอบกันเป็นอันดับแรก แต่ฟางหยวนกลับข้ามขั้นตอนนี้และใช้ท่าไม้ตายอมตะออกมาทันที
‘กระดองของมันแสดงให้เห็นถึงพลังป้องกันที่แข็งแกร่งของเต่าพยากรณ์ ไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกวิธีนี้ ’ เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้วลึก
‘ข้าควรทำอย่างไร ?’ เซี่ยเฟยกุ้ยลังเล เขาไม่รู้ว่าวูอี้ไห่มีความเชี่ยวชาญด้านใด แต่ฟางหยวนรู้ว่าเซี่ยเฟยกุ้ยชำนาญสิ่งใด
เซี่ยเฟยกุ้ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มโจมตี
ครั้งแรก
เขายกกำปั้นขึ้นและกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า
หมัดของเขาส่งหมัดแสงสีขาวพุ่งเข้าโจมตีเต่าพยากรณ์โดยตรง
ท่าไม้ตายอมตะหมัดแสงเหินเวหา !