“บึม!”
เสียงระเบิดดังขึ้น เปลวเพลิงลุกไหม้ คลื่นความร้อนผลักดันทุกสิ่งออกไป
ทรายสีเหลืองลอยขึ้นสู่อากาศก่อนจะจางหายไปและเผยให้เห็นร่างที่อยู่ภายใน
มันคือไห่ลั่วหลัน
นางหอบหายใจอย่างหนักหน่วงขณะที่ร่างกายของนางปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
‘กระทั่งท่าไม้ตายนี้ก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณนี้?’ หัวใจของไห่ลั่วหลันจมดิ่งลง
การต่อสู้ดำเนินไปถึงหนึ่งชั่วโมง ไห่ลั่วหลันใช้วิธีทั้งหมดของนางแต่ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณของฝ่ายตรงข้าม
นางตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์
ในความเป็นจริงนางไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าของศัตรูระหว่างการต่อสู้
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะผู้นี้ควบคุมค่ายกลวิญญาณอยู่เบื้องหลังและไม่เคยเปิดเผยตัวตนออกมา
“ไห่ลั่วหลัน ข้าต้องยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ”
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลแม้แต่น้อย”
“ข้าจะกล่าวตามตรง แม้พลังการต่อสู้ของเจ้าจะมากกว่านี้อีกเท่าตัว เจ้าก็ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณของข้า”
ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
ไห่ลั่วหลันก่นเสียงเย็น ‘ข้าเหลือพลังงานอมตะอีกไม่มากและข้าก็ใช้วิธีการทั้งหมดไปแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าข้า ไห่ลั่วหลัน จะมาตายอยู่ที่นี่! โอ้ ท่านแม่ ข้าไม่สามารถล้างแค้นให้ท่าน แม้เผ่าไห่จะถูกทำลายไปแล้ว แต่ไห่เจิ้งยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า’
อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้เสียงหัวเราะของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
“บัดซบ!” เขาอุทานเสียงดังด้วยความหวาดกลัว
‘โอกาส!?’ ไห่ลั่วหลันกระตุ้นตัวเอง
ในเวลาต่อมานางก็เห็นแสงสีเงินส่องประกายขึ้นเป็นทางยาวพร้อมกับเสียงมังกรคำราม
หัวใจของไห่ลั่วหลันสั่นสะท้านขึ้น
นางคุ้นเคยกับเสียงคำรามชนิดนี้
มันทิ้งความประทับใจอย่างมากไว้ในหัวใจของไห่ลั่วหลัน
เพราะไม่นานมานี้ไห่ลั่วหลันถูกไล่ล่าอย่างน่าสังเวชโดยเจ้าของเสียงสายนี้
‘ฟางหยวน!’ ไห่ลั่วหลันแทบกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเสียงคำรามของมังกรดาบบรรพกาลไพเราะและน่าฟังมาก
รอยดาบสีเงินพาดผ่านท้องฟ้าที่มืดมิด
รอยดาบขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้า
“ไม่!” ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลกรีดร้อง
ในเวลาต่อมาค่ายกลวิญญาณที่ทำให้ไห่ลั่วหลันพบกับความทุกข์ทรมานก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แสงสว่างพุ่งเข้าปิดกั้นวิสัยทัศน์ของนาง
ไห่ลั่วหลันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น หลังจากสามารถปรับสายตา นางก็เห็นฟางหยวนยืนอยู่ด้านข้าง ขณะที่เทพธิดาเมี่ยวหยินและนางเสือดำกำลังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
‘ข้าปลอดภัยแล้ว’ ไห่ลั่วหลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ความสุขบนใบหน้าของนางก็หายไปอย่างรวดเร็ว
นางเป็นคนทะเยอทะยานและไร้ปรานี นางชำเลืองมองฟางหยวนก่อนจะจะนั่งไขว้ขาและรักษาอาการบาดเจ็บของตน
อาการบาดเจ็บของไห่ลั่วหลันรุนแรงมาก ชีวิตของนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ฟางหยวนไม่ได้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของนาง เขาไม่มีวิธีรักษาที่โดดเด่นนอกจากวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า
หากฟางหยวนได้รับบาดเจ็บ นอกจากวิญญาญอมตะบุรุษคนก่อนหน้า เขาจะเปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลเพื่อพึ่งพาความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของมัน
แต่สำหรับไห่ลั่วหลัน นางไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกับฟางหยวน
การต่อสู้สิ้นสุดลงในไม่ช้า
เทพธิดาเมี่ยวหยินและนางเสือดำเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เมื่อพวกนางร่วมมือกันต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด พวกนางจึงมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติ
นอกจากนั้นฝ่ายตรงข้ามยังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขาเชี่ยวชาญในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณแต่ไม่ชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือค่ายกลวิญญาณของเขาถูกทำลายไปแล้วโดยฟางหยวน นั่นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที
ด้วยวิธีนี้ผู้อมตระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งค่ายกลจึงเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว
ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งค่ายกลหาได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นฟางหยวนจึงเก็บศพของคนผู้นี้ไว้ในมิติช่องว่างของเขาและไม่ได้กลืนกินมันทันที
เขาเรียกอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา “ไป! เราจะไปเป็นกำลังเสริมให้ไป่หนิงปิง!”
ทุกคนตระหนักถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ หากล่าช้าเพียงเล็กน้อย พวกเขาอาจถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้
นี่เป็นเหตุผลที่ฟางหยวนไม่รีบกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งคายกลทันที
เมื่อพวกเขาพบไป่หนิงปิง การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
สนามรบถูกเปลี่ยนเป็นโลกน้ำแข็ง
ไป่หนิงปิงในร่างไป่เซียงยืนอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่คู่ต่อสู้สามคนของนาง สองเสียงชีวิต และอีกหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
ไป่หนิงปิงชนะแบบหนึ่งต่อสาม!
“ไป่เซียง นี่คือท่าไม้ตายอมตะของไป่เซียง ท่าไม้ตายอมตะที่ครั้งหนึ่งเคยนำความหวาดกลัวมาสู่ภาคใต้ ผู้ใดจะคิดว่ามันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยไป่หนิงปิง!”
ผู้อมตะภาคใต้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อล่าถอย
แต่เมื่อเห็นอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดบินมาจากขอบฟ้า เขาก็รู้สึกสูญสิ้นความหวังทั้งหมด
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ได้ไล่ล่าเขาแต่รับไป่หนิงปิงและจากไปทันที
ตอนนี้พวกเขาต้องหลบหนี พวกเขาไม่สามารถเสียเวลาอันมีค่าไปกับการไล่จับผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้
เนื่องจากคนผู้นี้สามารถหลบหนีจากความตายขณะที่พันธมิตรอีกสองคนเสียชีวิตไป ไม่ต้องสงสัยว่าเขาต้องมีวิธีการหลบหนีบางอย่างและมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่าเขาในเวลาอันสั้น
อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเปลี่ยนทิศทางและบินไปทางทะเลทรายตะวันตก
ไป่หนิงปิงยกเลิกท่าไม้ตายเปลี่ยนเป็นไป่เซียงและทรุดตัวลงบนแผ่นหลังของนกอินทรีย์
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นไป่เซี่ยงทรงพลังมากแต่มันก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นกัน สำหรับไป่หนิงปิงในเวลานี้ มันเป็นภาระที่หนักหน่วงมาก
หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป ผู้อมตะภาคใต้จะมองเห็นจุดอ่อนนี้ในที่สุด
น่าเสียดายที่เขากลัวไป่เซียงมากเกินไป
ท่าไม้ตายนี้น่ากลัวในทุกด้าน ผู้ใช้งานสามารถฟื้นคืนชีพจากเศษชิ้นส่วนเพียงเล็กน้อย อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีวันตาย
เว้นเพียงบางคนจะสามารถทำลายไป่เซี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ในครั้งเดียวและไม่ทิ้งเศษชิ้นส่วนแม้เพียงเล็กน้อยเอาไว้
ไป่หนิงปิงหมดสติทันทีหลังจากยกเลิกท่าไม้ตายนี้
หากฟางหยวนและคนอื่นๆไม่มาช่วยนาง นางอาจเสียชีวิตจากความเหนื่อยล้าทางจิตใจ โชคดีที่ฟางหยวนมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาและสามารถรักษาผลข้างเคียงของไป่หนิงปิง
เมื่อไป่หนิงปิงตื่นขึ้น อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็บินมาไกลกว่าแสนลี้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้ามาช่วยข้าจริงๆงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงมองฟางหยวนและกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ไป่หนิงปิงไม่เคยคิดว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากฟางหยวน
ไห่ลั่วหลันเคยสงสัยว่าฟางหยวนจะเสียสละนาง ไป่หนิงปิงก็เช่นเดียวกัน
ฟางหยวนชำเลืองมองไป่หนิงปิงอย่างไร้อารมณ์ “สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิด เราทุกคนต่างถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบ นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนถูกซุ่มโจมตีโดยผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้”
แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณอมตะสัมผัสแห่งเต๋าที่สามารถตรวจสอบร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างของผู้อมตะ แต่เขาไม่รู้ว่าเดิมทีผู้อมตะเหล่านี้มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าอยู่มากน้อยเท่าใด
แม้ฟางหยวนจะรู้จำนวนตัวเลขของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างของไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆ มันก็ไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามเขาสามารถบอกได้ว่าทุกคนถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายที่คล้ายคลึงกัน
“มันมาจากผู้อมตะภาคใต้งั้นหรือ? ฟางหยวน ตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำนิกายเงาและได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง แต่กระทั่งเจ้าก็ยังไม่สามารถทำลายมันงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงถาม
“ข้าพยายามแล้ว” ฟางหยวนถอนหายใจ
เขาไม่ได้รับวิญญาณอมตะทั้งหมดของราชันภูเขาม่วง แม้เขาจะมีวิธีที่ดีหลายวิธีแต่ฟางหยวนก็ไม่สามารถใช้งานพวกมันโดยปราศจากวิญญาณอมตะ
สายตาของไห่ลั่วหลันสั่นไหวเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางต้องนึกไปถึงนิกายหลางหยา
หากมีวิญญาณอมตะไม่เพียงพอ พวกเขาสามารถหลอมรวมมัน นางรู้ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับนิกายหลางหยา
ฟางหยวนสามารถขอความช่วยเหลือจากความสัมพันธ์นี้
ในความเป็นจริงฟางหยวนต้องการทำเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาได้ติดต่อผมที่หกไปแล้ว
อย่างไรก็ตามผมที่หกไม่ยอมรับสถานะของฟางหยวน เขาสงสัยแรงจูงใจของฟางหยวนและขอให้ฟางหยวนช่วยอิงอู๋เซี่ยเป็นอันดับแรก ท้ายที่สุดร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้น
แต่อิงอู๋เซี่ยและเทพธิดากระต่ายข่าวอยู่ในมิติช่องว่างของเทพธิดาเมี่ยวหยิน
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฟางหยวนต้องกลับไปช่วยพวกนาง
ผมที่หกไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องติดต่อจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนมีความสุขก็คือจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้า ฟางหยวนสามารถใช้แต้มผลงานและขอให้นิกายหลางหยาหลอมรวมวิญญาณให้เขา
ฟางหยวนมอบมรดกบางส่วนของราชันภูเขาม่วงให้นิกายหลางหยาเพื่อแลกกับแต้มผลงานก่อนจะขอให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาช่วยหลอมรวมวิญญาณที่เขาต้องการ
แม้นิกายหลางหยาจะเริ่มหลอมรวมวิญญาณให้ฟางหยวน แต่มันยังต้องใช้เวลา
“สถานการณ์ซับซ้อนมาก ข้าสงสัยว่าวังสวรรค์ร่วมมือกับผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้เพื่อกำจัดพวกเรา วังสวรรค์กำลังใช้ผู้อมตะภาคใต้เป็นเครื่องมือ แต่พวกเขาจะไม่เพียงเฝ้ามองอยู่ข้างสนามรบ นอกจากผู้อมตะภาคใต้ เรายังต้องระวังผู้อมตะจากวังสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่และหาโอกาสซุ่มโจมตีพวกเรา” ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง