ฟางหยวนไม่สามารถบังคับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
แม้เขาจะต้องการสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองแต่ปราศจากวิญญาณอมตะที่สำคัญเขาก็ไม่สามารถทำได้
‘นอกจากนั้นข้ายังต้องหยิบยืมพลังของนิกายหลางหยาเพื่อหลอมรวมวิญญาณ’
ฟางหยวนได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง แต่เขายังขาดวิญญาณอมตะ เขามีแผนการที่จะหลอมรวมวิญญาณอมตะอีกมากมาย
หากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปฏิเสธ แล้วเขาจะทำอย่างไร?
ฟางหยวนต้องพิจารณาถึงปัญหานี้
เขามักจะทำสิ่งต่างๆโดยคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนเสมอ
‘หากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปฏิเสธที่จะให้ยืมวิญญาณอมตะยันต์ค่ายกล ข้าต้องใช้มิติช่องว่างของผู้อื่น’
ฟางหยวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปในมิติช่องว่างของสมาชิกนิกายเงาคนอื่นๆ
เว้นเพียงพวกเขาจะวางมิติช่องว่างลงเพื่อสร้างสมดุลเท่านั้น
หลังจากฟางหยวนเข้าสู่มิติช่องว่างของอีกคน เขาจะใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อเร่งเวลาของที่นั่น
ด้วยวิธีนี้หนึ่งวันของโลกภายนอกก็อาจเท่ากับหนึ่งเดือนในมิติช่องว่าง
สิ่งนี้จะช่วยให้เขาได้รับเวลาอันมีค่าในการทำงาน
เขาจะสามารถชำระล้างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลทั้งหมด
นี่คือแผนการของฟางหยวนในกรณีที่เขาไม่มีทางเลือกอื่น
แต่วิธีนี้มีข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน
หลังจากวางมิติช่องว่างลง พวกเขาต้องหยุดเดินทางขณะที่วังสวรรค์กำลังไล่ล่าพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ศัตรูจะมีวิธีทะลวงเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนั้นหากฟางหยวนปรับเปลี่ยนเวลาในมิติช่องว่างบ่อยเกินไป สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในมิติช่องว่างของพวกเขาจะเกิดความปั่นป่วนและจะทำให้เวลาในมิติช่องว่างของพวกเขาหยุดเดิน
จากการคำนวณ ฟางหยวนตระหนักว่าหากเขาใช้วิธีนี้กับผู้ใด คนผู้นั้นจะพบภัยพิบัติทันที
นี่เป็นเรื่องยากลำบาก
เจตจำนงสวรรค์พยายามทุกวิถีทางเพื่อสังหารฟางหยวน
แม้ฟางหยวนจะใช้มิติช่องว่างของอีกคน แต่เจตจำนงสวรรค์ก็ยังมองเห็นทุกอย่างและสามารถจัดการฟาหงยวนในภัยพิบัติ มันจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อสังหารผู้อมตะที่ฟางหยวนเลือกระหว่างภัยพิบัติอย่างแน่นอน
ฟางหยวนและคนอื่นๆสามารถร่วมมือกันต่อต้านภัยพิบัติ
แต่วังสวรรค์กำลังไล่ล่าพวกเขา
เมื่อพิจารณาจากเวลาและความเร็ว วิธีการวางมิติช่องว่างลงเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลมีความเสี่ยงสูงมาก พวกเขาต้องต่อสู้กับภัยพิบัติและยังต้องเผชิญหน้ากับผู้อมตะจากวังสวรรค์ในเวลาเดียวกัน
มันเสี่ยงเกินไป
หากฟางหยวนใช้มิติช่องว่างจักรพรรดิ มันจะยิ่งอันตราย
ฟางหยวนมีความกังวลข้อหนึ่ง ‘ก่อนหน้านี้มีเพียงฟงจิวเก้อที่ไล่ล่าพวกเรา ข้าสงสัยว่าผู้อมตะจากวังสวรรค์จะปรากฏตัวขึ้นกี่คนในครั้งต่อไป!?’
ดังนั้นในช่วงเวลานี้ฟางหยวนจึงต้องเดินทางอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่เปิดโอกาสให้วังสวรรค์ปิดล้อมพวกเขา
ทะเลทรายตะวันตกใหญ่โตมาก วังสรรค์ต้องเข้าสู่ภูมิภาคอื่น ขณะเดียวกันฟางหยวนก็สามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเคลื่อนย้ายสถานที่ มันเป็นเรื่องยากที่ฝ่ายตรงข้ามจะค้นหาและฆ่าพวกเขา
เมื่อถึงเวลาที่กำหนด หลายร่างก็บินเข้ามาหาฟางหยวน
พวกเขาก็คือไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน และคนอื่นๆ
โดยปกติแล้วเมื่อฟางหยวนอนุมาน พวกเขาจะกระจายตัวออกไปเพื่อเฝ้าระวังสภาพแวดล้อม
“ฟางหยวน เมื่อใดค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองจะเสร็จสมบูรณ์? เราต้องวิ่งต่อไปอีกนานเท่าใด?” ไป่หนิงปิงบินลงมาและขมวดคิ้วถาม
ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องมองไปรอบๆ เขารู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมองมาที่เขาด้วยคำถามเดียวกัน
“รออีกหน่อย” ฟางหยวนกล่าว
ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ
นางเป็นคนใจร้อนที่สุดในกลุ่ม วิถีชีวิตเช่นนี้ไม่น่าตื่นเต้น นางรู้สึกเบื่อหน่าย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างค่ายกลวิญญาณนั้น เพียงจัดตั้งค่ายกลวิญญาณล่อลวงศัตรูและสังหารพวกเขาให้หมด!” ไป่หนิงปิงแนะนำ
ฟางหยวนส่ายศีรษะ “เจ้าคิดว่ามันง่ายงั้นหรือ? เราจะหาสาขาของสายธารแห่งกาลเวลามากมายมาจากที่ใด?”
ค่ายกลวิญญาณที่เคยทำร้ายฟงจิวเก้อก่อนหน้านี้มาจากมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน
ไห่ฟานสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันสัตว์อสูรแรกกำเนิด
เนื่องจากวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำจะดึงดูดอสูรปีแรกกำเนิดให้เข้าสู่มิติช่องว่างของผู้อมตะผ่านสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา ดังนั้นไห่ฟานจึงต้องใช้ค่ายกลวิญญาณนี้เพื่อบังคับให้อสูรปีแรกกำเนิดกลับไปในสายธารแห่งกาลเวลา
แน่นอนว่าวิธีนี้เป็นไพ่ตายที่สามารถใช้ในเวลาที่ไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น
ด้วยการทำลายสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา เวลาในมิติช่องว่างจะหยุดนิ่ง มันเป็นเรื่องยากที่จะดึงสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเข้าไปอีกครั้ง
“ข้ารู้สึกเช่นเดียวกัน ข้าไม่ชอบการถูกตามล่า”
“แต่ข้าจะรวบรวมความเกลียดชังเอาไว้ในใจเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมในการตอบโต้และจัดการคนเหล่านั้นอย่างรุนแรง”
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่หรือ? ความตื่นเต้นในอนาคต”
“ฮืม!” ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นอีกครั้งและหยุดกล่าว
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว” ฟางหยวนพึ่งกล่าวจบเมื่อการแสดงออกของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเปลี่ยนไป
บนท้องฟ้า เมฆสีแดงลอยลงมา
นางรำหงหยุน!
นางมองมาที่ฟางหยวนและคนอื่นๆที่อยู่บนเนินทราย
“สนมซุ้ย พวกเขาคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าถึงอยู่กับพวกเขา?” นางรำหงหยุนถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ
สนมซุ้ยก็คือเทพธิดาซุ้ยป๋อ
“หงหยุน?” อิงอู๋เซี่ยรู้สึกประหลาดใจก่อนที่นางจะเปิดปากถามด้วยการแสดงออกที่สนุกสนาน “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?”
เมฆสีแดงเคลื่อนลงมาอย่างช้าๆขณะที่นางรำหงหยุนเฝ้ามองเทพธิดาซุ้ยป๋อผู้นี้
อิงอู๋เซี่ยใช้ร่างกายของเทพธิดาซุ้ยป๋อโดยการสลับวิญญาณ เป็นธรรมดาที่มันจะมีข้อบกพร่องบางอย่าง
หากเป็นผู้อมตะทั่วไป นางรำหงหยุนอาจเห็นข้อบกพร่อง แต่นี่คืออิงอู๋เซี่ย
แล้วอิงอู๋เซี่ยคือผู้ใด?
เขาคือร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าฟางหยวนหลายเท่า
เทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นผู้สร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เขามีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างแยกเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในห้าภูมิภาคได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง แน่นอนว่าอิงอู๋เซี่ยต้องมีวิธีปกปิดร่องรอยของตนเอง
ดังคาดหลังจากนางรำหงหยุนใช้วิธีตรวจสอบของนาง นางไม่พบสิ่งผิดปกติกับเทพธิดาซุ้ยป๋อผู้นี้
การแสดงออกของนางดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังมีปัญหา ป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของเจ้าได้รับผลกระทบ ข้ากับสามีเป็นห่วงเจ้า ดังนั้นข้าจึงออกมาช่วยเจ้า แต่ดูเหมือนเจ้าจะสบายดี”
นางรำหงหยุนถามอีกครั้ง “พวกเขาคือผู้ใด? หือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับพวกเขา?”
นางรำหงหยุนมองไปที่ฟางหยวน
ทันใดนั้นการแสดงออกของนางก็เปลี่ยนแปลงไป นางตกใจมาก “หลิวกวนซื่อ?”
นางรำหงหยุนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะได้รับข้อมูลมากกว่าผู้อมตะทั่วไป
และตอนนี้ฟางหยวนก็อยู่ในร่างที่แท้จริงของเขา
“เป็นข้า” ฟางหยวนตอบอย่างเย็นชาและสงบนิ่ง
นางรำหงหยุนถอยห่างออกไปเล็กน้อย
เผชิญหน้ากับหลิวกวนซือ นางรู้สึกถึงแรงกดดัน
นี่คือคนที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด!
ไม่นานมานี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก สถานะของเขาเท่าเทียมกับฟงจิวเก้อ
‘โชคดีที่ข้ามีเจตจำนงของสามีและวิญญาณอมตะระดับแปด มิฉะนั้น…’ นางรำหงหยุนรู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
นางกล่าว “สนมซุ้ย เจ้าทำให้สามีและข้ากังวล เจ้ารวมกลุ่มกับผู้อมตะจากภูมิภาคอื่น นอกจากนั้นเจ้ายังไม่แม้แต่จะส่งข่าวถึงพวกเรา!”
นางรำหงหยุนมีเป้าหมายของนางเอง นางกล่าวเรื่องนี้เพื่อสร้างความบาดหมางระหว่างบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงและเทพธิดาซุ้ยป๋อ
บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงชื่นชอบเทพธิดาซุ้ยป๋อมากที่สุด แน่นอนว่านางรำหงยุนอิจฉามาก ดังนั้นนางจะไม่ทิ้งโอกาสที่จะโจมตีเทพธิดาซุ้ยป๋อ
นางกล่าวกับอิงอู๋เซี่ยแต่แท้จริงแล้วเป้าหมายของนางคือเจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง
สายตาของฟางหยวนกลายเป็นมืดครึ้มขณะที่ไป่หนิงปิงและไห่ลั่วหลันมองหน้ากัน
คำกล่าวของนางรำหงหยุนชัดเจนว่านางไม่สนใจหลิวกวนซือ ความมั่นใจของนางย่อมมาจากพลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนาง
ฟางหยวน ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลันเข้าใจเรื่องนี้ แต่อิงอู๋เซี่ย เทพธิดาเมี่ยวหยิน และเทพธิดากระต่ายขาวไม่ตระหนักถึง
“เอาล่ะ เล่าเรื่องของเจ้ามา ซุ้ยป๋อ ข้าอยากรู้มาก” เป็นเพียงเวลานี้ที่เจตจำนงของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงออกมาจากร่างของนางรำหงหยุน
‘นางมีไพ่ตาย’ อิงอู๋เซี่ยคิด
‘นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ มาดูกันว่าอิงอู๋เซี่ยจะผ่านมันไปได้อย่างไร?’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆกังวลเล็กน้อย
อิงอู๋เซี่ยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ในความเป็นจริงเขายังเด็ก ทักษะการแสดงของเขาด้อยกว่าฟางหยวน มันเป็นเรื่องยากที่บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจะไม่รู้สึกถึงข้อบกพร่องบางอย่างจากการแสดงของอิงอู๋เซี่ย
แล้วเขาจะทำได้หรือไม่?