เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1217 การบ่มเพาะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
แปลโดย iPAT
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของพี่เล้งที่น่าสงสารแทบทะลักออกมาจากเบ้า
“เป็นไปได้อย่างไร? มังกรดาบบรรพกาลตัวนี้มีมิติช่องว่าง มันไม่ใช่สัตว์ป่าแต่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง!”
“เป็นไปไม่ได้! หากมันเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เหตุใดมันถึงไม่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภูมิภาค!?”
พี่เล้งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งนี้ขัดต่อสามัญสำนึกของโลกแห่งการบ่มเพาะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
มังกรดาบบรรพกาลคำรามขณะที่มันพุ่งเข้าโจมตีเขา
เลือดไหลออกมาจากดวงตาของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาล วูอี้ไห่ตายไปแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า
พี่เล้งพยายามป้องกันตัวเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง
มังกรดาบบรรพกาลหลบทุกการโจมตีอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันมันก็ปล่อยลมหายใจมังกรออกไปอย่างต่อเนื่อง
หมาป่าสายฟ้าแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวในกำแพงภูมิภาค แต่มังกรดาบบรรพกาลกลับไม่ได้รับผลกระทบจากมันและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น
ด้วยเหตุนี้หมาป่าสายฟ้าบรรพกาลจึงทำได้เพียงใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อตอบโต้แต่มังกรดาบบรรพกาลยังสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
ครู่ต่อมามังกรดาบบรรพกาลก็สามารถส่งลมหายใจมังกรพุ่งไปที่ท้องของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาล
การป้องกันของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลพังทลายลง ท้องของมันถูกตัดขณะที่ลำไส้และเลือดทะลักไหลออกมาจากแผลขนาดใหญ่
มังกรดาบบรรพกาลฉวยโอกาสโจมตีซ้ำๆกระทั่งหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์และนอนตายจมกองเลือดของเขาเอง
มังกรดาบบรรพกาลเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็วราวกับมันคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้
ในไม่ช้าศพของลุงจางและพี่เล้งก็ถูกยัดเข้าไปในมิติช่องว่างก่อนที่สนามรบทั้งหมดจะถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งเอาไว้
มังกรดาบบรรพกาลไม่ได้บินกลับภาคใต้แต่มันมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันออก
มันค้นหาพื้นที่ที่ปลอดภัยก่อนจะโยนศพของวูอี้ไห่ลงไป
หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้น มังกรดาบบรรพกาลก็ฉวยโอกาสนี้บินเข้าไป
แดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่เป็นมหาสมุทร มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่ภายในแต่ส่วนใหญ่เป็นเต่าทะเล ปะการัง และนกนางนวล
มีสัตว์อสูรเดียวดายและกระทั่งสัตว์อสูรบรรพกาลได้แก่ เต่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสามตัว ปะการังอสูรบรรพกาลกลุ่มหนึ่ง และนกนางนวลฟ้าขาวบรรพกาลอีกหกตัว
หลังจากไม่นานจิตวิญญาณแผ่นดินก็ปรากฏตัวต่อหน้ามังกรดาบบรรพกาล
มันอยู่ในรูปลักษณ์ของเต่าทะเล มันบอกเงื่อนไขที่ค่อนข้างยากลำบาก
มังกรดาบบรรพกาลทำได้เพียงออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น
เมื่อกลับสู่โลกภายนอกและยืนยันความปลอดภัย มังกรดาบบรรพกาลก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์
จะเป็นผู้ใดได้นอกจากฟางหยวน
เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับภาคใต้มากมายจากเทพธิดากระต่ายขาว แน่นอนว่าเขารู้เรื่องของวูอี้ไห่
นี่เป็นความขัดแย้งภายในของตระกูลวู โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับวูตู๋ซิ่ว มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ข่าวเรื่องการเดินทางของวูอี้ไห่แพร่กระจายออกไป ฟางหยวนรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำคัญ
เห็นได้ชัดว่าตัวตนของวูอี้ไห่เหมาะสมมากที่ฟางหยวนจะปลอมตัวและเข้าแทนที่
ประการแรก เขาเป็นบุตรนอกสมรสของวูตู๋ซิ่ว เขาไม่มีป้ายวิญญาณหรือโคมไฟวิญญาณอยู่ที่ตระกูลวู มิฉะนั้นเขาจะไม่ได้เป็นเพียงบุตรนอกสมรสแต่จะเป็นนายน้อยลำดับที่สอง
ความตายของวูอี้ไห่ มีโอกาสน้อยที่ตระกูลวูจะค้นพบ
ประการที่สอง วูอี้ไห่อยู่ในทะเลตะวันออกมาตลอดชีวิตในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษ เขาไม่เคยติดต่อสมาชิกตระกูลวู คนตระกูลวูส่วนใหญ่ไม่รู้จักกระทั่งหน้าตาของเขาโดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับนิสัยและวิธีการพูดคุย
หากฟางหยวนปลอมตัวเป็นวูอี้ไห่โดยใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย มันมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะถูกเปิดเผย
ฟางหยวนไม่ได้รับแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่แต่เขาไม่ตื่นตระหนก
เขาพบเกาะร้างและพักอยู่ที่นั่น
ด้านหนึ่งเขากำลังรอให้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดฟื้นตัวขึ้น อีกด้านหนึ่งเขาพยายามแก้ไขท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิต
ตั้งแต่วิญญาณอมตะสมบัติเลือดได้รับบาดเจ็บ ฟางหยวนให้ความสำคัญกับการรักษามันเป็นอย่างมาก ตอนนี้มันเกือบฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว
ดังนั้นไม่กี่วันต่อมาวิญญาณอมตะสมบัติเลือดก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์
ขณะเดียวกันฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการแก้ไขท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิตและสามารถใช้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดเป็นแกนกลาง
นี่จะทำให้เรื่องต่างๆง่ายดายขึ้น
ฟางหยวนใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดทะลวงเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่และใช้ท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิตกำหราบจิตวิญญาณแผ่นดิน
เมื่อจิตวิญญาณแผ่นดินไม่ต่อต้าน ฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่ในที่สุด
สิ่งนี้ทำให้เขาก้าวข้ามภัยพิบัติไปได้หลายครั้ง
ท้ายที่สุดวูอี้ไห่ก็เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาแตกต่างจากผู้อมตะระดับหก
สำหรับจิตวิญญาณแผ่นดินเต่าทะเลของวูอี้ไห่ ภายใต้การดูแลอย่างระมัดระวังของฟางหยวน มันไม่ได้หายไป
แต่มันไม่ฟังคำสั่งของฟางหยวน มันร้องไห้ตลอดเวลา
ฟางหยวนต้องการกำจัดมันแต่หลังจากตระหนักว่ามันไม่มีเจตนาร้าย เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้
“บางทีเมื่อข้าสามารถทำตามเงื่อนไขของมันในอนาคต ข้าจะสามารถกำหราบมันได้อย่างแท้จริง”
หลังจากจบเรื่องนี้ ฟางหยวนเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคกลับไปยังภาคใต้ทันที
เขาบินไปยังจุดศูนย์กลางของภาคใต้และวางมิติช่องว่างของลุงจางกับพี่เล้งลงเพื่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้น
‘ด้วยวิธีนี้ข้าสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วหนึ่งครั้ง’ หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดของผู้อมตะสามคน การบ่มเพาะของฟางหยวนก็พุ่งสูงขึ้นอีกมาก เขากลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่ผ่านภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วหนึ่งครั้ง
ผู้อมตะระดับเจ็ดต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพทุกสิบปี ภัยพิบัติสวรรค์ทุกห้าสิบปี และภัยพิบัติใหญ่ทุกหนึ่งร้อยปี หลังจากสามร้อยปีและผ่านภัยพิบัติใหญ่สามครั้ง พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปด!
‘แต่ภัยพิบัติใหญ่จะทรงพลังขึ้นทุกครั้ง ผู้อมตะระดับเจ็ดของภาคใต้ เฒ่าพฤกษาปาเต๋อติดอยู่ที่ภัยพิบัติใหญ่ครั้งสุดท้าย เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน’
ผลกำไรที่ได้รับในครั้งนี้เกินความคาดหมายของฟางหยวน
นอกจากเขาจะสามารถกลืนกินสามแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด ระดับการบ่มเพาะของเขายังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระทั่งตัวฟางหยวนเองยังรู้สึกตกใจกับความโชคดีของตน
‘วิญญาณอมตะโชคอึสุนัขคู่ควรกับเป็นวิญญาณหลักของเทพอมตะตะวันเดือดอย่างแท้จริง แต่ข้าสงสัยว่าเมื่อใดข้าจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปด’
ฟางหยวนมองขึ้นไปบนศีรษะของตนเองโดยไม่รู้ตัวแม้เขาจะไม่มีวิญญาณอมตะตรวจสอบโชคก็ตาม
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเรื่องทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะอิงอู๋เซี่ยใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญจิตวิญญาณระเบิดโชค
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ลุงจางกับพี่เล้งคิดว่าฟางหยวนเป็นมังกรดาบบรรพกาลป่า
อย่างไรก็ตามมันยังเกี่ยวข้องกับวิญญาณทัศนคติที่ทำให้ผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสามตกลงสู่หลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสามจึงใช้กลยุทธ์ป้องกันมากกว่าโจมตี
ต่อมาวูอี้ไห่ยังคิดว่ามังกรดาบบรรพกาลมีสติปัญญาต่ำและพยายามเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสิ่งมีชีวิตอื่นต่อหน้ามัน
ฟางหยวนมองเห็นโอกาสสำคัญและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะที่เตรียมไว้ลอบสังหารลุงจาง จากนั้นเขาจึงระเบิดความเร็วพุ่งเข้าสังหารวูอี้ไห่ในเสี้ยวพริบตา
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ฟางหยวนได้รับกำไรมหาศาล
ข้อบกพร่องเดียวคือทรัพยากรในมิติช่องว่างของผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งสามได้รับความเสียหายค่อนข้างมากจากการลอบโจมตีจากศัตรูก่อนหน้าที่จะพบฟางหยวน
ฟางหยวนไม่ได้ไปที่ตระกูลวูทันที
เขาเริ่มค้นวิญญาณของวูอี้ไห่และทำความเข้าใจคนผู้นี้
ระหว่างนี้ฟางหยวนยังไปหาเทพธิดากระต่ายขาวเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
ข่าวการหายตัวไปของวูอี้ไห่แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ตระกูลวูเลือกที่จะเงียบ กองกำลังต่างๆพยายามคาดเดาและมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าวูอี้ไห่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเคลื่อนไหว
หลายกองกำลังดำเนินการในที่มืด ส่วนใหญ่เป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี
แน่นอนว่ากองกำลังเหล่านี้ไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนฆ่าวูอี้ไห่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีข่าวลือที่ดังเข้าหูทุกคน
นั่นคือผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารวูอี้ไห่ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากผู้อมตะระดับแปดของตระกูลวู วูหยง!
ผู้คนพูดกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือวูหยงต้องการมรดกของวูตู๋ซิ่ว ดังนั้นเขาจึงดำเนินการสังหารน้องชายของตนเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการโจมตีวูหยงอย่างรุนแรง
ปีศาจอมตะไม่สนใจขณะที่ผู้บ่มเพาะสันโดษแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หลังจากทั้งหมดพวกเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนเป็นอันดับแรกๆ
วูหยงเลือกที่จะเงียบ เขาไม่ได้ออกมาชี้แจงสิ่งใด
‘น่าสนใจ’ ฟางหยวนรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่มากมายในเรื่องนี้ กองกำลังต่างๆและผู้อมตะจำนวนมากกำลังต่อสู้กันอย่างลับๆแต่มันถูกซ่อนไว้ในมุมมืดอย่างระมัดระวัง
วูตู๋ซิ่วกำลังจะตาย วูหยงที่อยู่ใต้เงาของมารดามาตลอดชีวิตมีการบ่มเพาะระดับแปดแต่ความสามารถของเขากลับถูกตั้งคำถามในวงกว้าง
‘หากข้าปรากฏตัวในเวลานี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟางหยวนนึกถึงเรื่องนี้และรู้สึกหนาวเย็นไปถึงแกนกระดูก