บทที่ 1647 ร่วมมือปราบปราม
แดนศักดิ์สิทธิ์ฟางเจิ้ง
มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบแต่มีเทือกเขาสูงเรียงรายอยู่ในระยะไกล
ความสนใจของฟางเจิ้งอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่ง มันเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยหินสีเลือด หากสังเกตอย่างถี่พ้วนหุบเขาเหล่านี้เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้สีเลือด
ต้นไม้เหล่านี้มีดอกและมีผลไม้ขนาดเท่ากําปั้นของเด็กทารก เมื่อเวลาผ่านไปผลไม้สีเลือดจะระเบิดและกลายเป็นดอกไม้สีเลือดขนาดใหญ่
ดอกไม้โลหิตเหล่านี้เป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งเลือด ในโลกภายนอกพวกมันเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่สามารถเพาะปลูก
แต่ต้นไม้เหล่านี้ถูกจัดเตรียมให้ฟางเจิ้งโดยนิกายกระเรียนอมตะ
นี่เป็นกลอุบายของฝ่ายธรรมะ ฟางเจิ้งคุ้นเคยกับมันแล้ว เขาไม่แปลกใจ
ในห้าภูมิภาคเส้นทางแห่งเลือดไม่ได้รับการยอมรับให้คงอยู่ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางแห่งเลือดจะถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจร้ายและจะถูกกําจัดโดยฝ่ายธรรมะ แต่น่าขันที่ฝ่ายธรรมะกลับเป็นผู้ค้นคว้าและครอบครองทุกสิ่งเกี่ยวกับเส้นทางแห่งเลือดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“ต้นบุปผาโลหิตเป็นทรัพยากรระดับมนุษย์ แต่ตราบเท่าที่จํานวนของมันเพิ่มขึ้น พวกมันจะมีค่าเทียบเท่ากับทรัพยากรอมตะ นี่เป็นข้อได้เปรียบของเส้นทางแห่งเลือด”
“ต้นบุปผาโลหิตเป็นแหล่งทรัพยากรอมตะของข้า”
“ตอนนี้ข้ามีวิญญาณอมตะเลือดเย็นระดับหกและวิญญาณอมตะเลือดล้างเลือดระดับหก แต่ข้ายังต้องการวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งเลือดเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะ”
ฟางเจิ้งตระหนักว่าสิ่งสําคัญของเขาในเวลานี้คือการหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งเลือดเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะที่ฟานซื่อหลิวมอบให้
เนื่องจากเขาพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขาจึงต้องการเวลาในการพัฒนา
หลังจากตรวจสอบมิติช่องว่าง ฟางเจิ้งก็กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ความสุขจากความสําเร็จของเขาค่อยๆจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกกดดัน
“ฟางหยวน” ฟางเจิ้งไม่สามารถห้ามตัวเองให้คิดถึงพี่ชายของเขา
หลายวันที่ผ่านมาไม่เพียงเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะแต่เขายังได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับฟางหยวนจากฟานซื่อหลิว แน่นอนว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากวังสวรรค์
ฟางเจิ้งเรียนรู้สถานการณ์ของฟางหยวนและตระหนักว่าฝ่ายหลังยังไม่ได้ตาย แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือเขาไม่รู้สึกโกรธที่โดนหลอก
ตรงข้าม ยิ่งเขาเรียนรู้เท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้าเท่านั้น
“ปรากฏว่าข้าไม่เคยเข้าใจเจ้าอย่างแท้จริง…ฟางหยวน…”
“ปีศาจต่างโลกวิญญาณกาลเวลา….การบ่มเพาะระดับแปด…”
ยิ่งเขารู้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเองและความน่ากลัวของฟางหยวนมากเท่านั้น
เมื่อคิดว่าตนเองต้องเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ในอนาคต เขารู้สึกหดหูและสิ้นหวังเล็กน้อย
เขาเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังในหัวใจแต่เขาไม่ปฏิเสธหรือพยายามหลีกเลี่ยง
มนุษย์มักกล่าวว่าเด็กไม่มีความกลัว เมื่อเด็กไม่กลัว พวกเขาจึงมีแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ แต่หลังจากคนผู้หนึ่งผ่านประสบการณ์มากมาย พวกเขาจะเรียนรู้เกี่ยวกับความน่ากลัวของสิ่งต่างๆ เสือกินคน กรงเล็บเสือทําร้ายคน ความแข็งแกร่งของตนเองไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่คิด
จินตนาการเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่หลังจากเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผู้คนจะรู้สึกเจ็บปวด เข้าใจโลก และเข้าใจตนเอง
“เมื่อข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ข้าเข้าสู่สงครามระหว่างมนุษย์ขนในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ข้าใช้ชีวิตพเนจรไปรอบๆอย่างยากลําบาก
แต่ตอนนี้ในฐานะผู้อมตะ ข้าติดอยู่ระหว่างฟางหยวนกับวังสวรรค์ ข้ากลายเป็นตัวหมากเบี้ย แม้ความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มขึ้น แต่อิสรภาพของข้าลดน้อยลง ตอนนี้ข้าเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง ข้าอาจตายได้ทุกเมื่อ
ฟางเจิ้งเผยรอยยิ้มขมขื่นให้กับตนเอง
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าวังสวรรค์ให้ความสําคัญกับเขามากเพียงใด
ในไม่ช้าเขาก็นึกถึงจ้าวเหลียนหยุน
ก่อนหน้านี้นางนําของขวัญมาแสดงความยินดีกับเขา นี่เป็นประเพณีของทั้งห้าภูมิภาค เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้วิญญาณกลายเป็นผู้อมตะ สหายและครอบครัวของพวกเขาจะส่งของขวัญมาให้
ของขวัญส่วนใหญ่ที่ฟางเพิ่งได้รับมาจากนิกายกระเรียนอมตะ
จากข้อมูลที่ได้รับจากนิกายกระเรียนอมตะ มันทําให้ฟางเจิ้งเข้าใจสถานการณ์ของจ้าวเหลี่ยนหยุน
“จ้าวเหลียนหยุน เจ้าเป็นปีศาจต่างโลกเช่นกัน แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
“เจ้าตั้งใจมาหาข้า เจ้าคงต้องการร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการฟางหยวน
ของขวัญและจดหมายของจ้าวเหลียนหยุนแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีของนาง แต่นางไม่ได้กล่าวความต้องการของนางออกมาโดยตรง อย่างไรก็ตามฟางเจิ้งสามารถคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของนาง
จ้าวเหลียนหยุนมอบวิธีเพาะปลูกพืชบนเส้นทางแห่งเลือดให้กับฟางเจิ้ง
“ในการบ่มเพาะของผู้อมตะ นอกจากพลังการต่อสู้ การจัดการมิติช่องว่างถือเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ทั้งสองจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน หากปราศจากพลังการต่อสู้ ไม่ว่าพัฒนามิติช่องว่างได้ดีเพียงใด คนผู้นั้นก็ยังจะถูกรังแก พวกเขาต้องส่งมอบทรัพยากรให้กับผู้อื่น ในทางตรงข้ามหากขาดรากฐานที่ดี พวกเขาก็เหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่เชื้อเพลิงจะหมดลง พวกเขาจะจบลงด้วยการกลายเป็นควันและกระจายหายไป
ฟางเจิ้งคิดต่อ นอกจากนี้คําอธิบายของนางเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มีประโยชน์ต่อข้าเช่นกัน จ้าวเหลียนหยุนแสดงความจริงใจต่อข้าเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่นิกายกระเรียนอมตะไม่อนุญาตให้เราพบกัน น่าเสียดายจริงๆ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ฟางหยวน?”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ สายตาของฟางเจิ้งกลายเป็นพร่าเลือน
ในช่วงวัยเยาว์ เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอาจารย์ของเขาจักรพรรดิกระเรียนสวรรค์ ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเจตจํานงของฟางหยวน แต่ตอนนี้ที่ภาคกลางเขาอยู่เพียงลําพัง
ฟางเจิ้งเคยชินกับการอยู่ร่วมกับฟางหยวนโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีเจ้า ข้าไม่ชิน ฟางเจิ้งส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้มขมขืน ความรู้สึกอ้างว้างที่ยากจะอธิบายแทรกซึมอยู่ในหัวใจของเขาวังสวรรค์
เทพธิดาอเว่ยเผยรอยยิ้มมีความสุข “ฟางเจิ้งกลายเป็นผู้อมตะแต่เขายังต้องยกระดับการบ่มเพาะเพื่อเป็นเครื่องมือต่อต้านฟางหยวน”
นอกจากฟางเจิ้ง เทพธิดาจื่อเว่ยยังตระหนักถึงความตั้งใจของจ้าวเหลียนหยุน แม้หม่าหงหยุนจะเสียชีวิต แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่กับฟางหยวน
เทพธิดาจื่อเว่ยขมวดคิ้ว “ปัญหาที่แท้จริงยังเป็นตัวของฟางหยวน”
ตั้งแต่การต่อสู้ในสายธารแห่งกาลเวลาคราวก่อน ฟางหยวนก็หายตัวไป
เทพธิดาจอเว่ยต้องการให้ฟางหยวนค้นหาทรัพยากรเพราะเขาจะทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในกรณีนั้นนางจะสามารถอนุมานสิ่งที่มีประโยชน์และหาวิธีทําลายการป้องกันการอนุมานของเขา
ในมุมมองของเทพธิดาจื่อเว่ย ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์มาก แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือทักษะในการจัดการเรื่องต่างๆของเขา ทุกครั้งที่เขาเก็บตัว เขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ความเร็วในการเติบโตของเขาน่าตกใจเกินไป
นี่เป็นผลมาจากความสามารถในการจัดการของเขา
“ตอนนี้เทพปีศาจจิตวิญญาณค่อยๆสูญเสียการควบคุม เราได้รับข้อมูลสําคัญมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ในสายธารแห่งกาลเวลามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งหมดสี่หลัง ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาต้องถูกพัฒนา”
“ในเวลาเดียวกันเราก็ไม่สามารถปล่อยให้ฟางหยวนมีช่วงเวลาที่สงบสุข ข้าควรติดต่อวูหยง”
ไม่กี่วันต่อมา
สายลมกรรโชกแรง
ฟางหยวนผลักฝ่ามือออกไปทําลายภัยพิบัติของไหลั่วหลัน
ดวงตาของไร่ลั่วหลันกระตุกเล็กน้อย แต่การแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนแปลง นางยืนอยู่ในมิติช่องว่างของนางขณะที่นางขอบคุณฟางหยวน
“ไม่จําเป็นต้องขอบคุณ” ฟางหยวนมองมิติช่องว่างของไหลั่วหลันที่ค่อนข้างแห้งแล้ง มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับมิติช่องว่างจักรพรรดิได้แม้แต่น้อย แม้ไร่ลั่วหลันจะมีมิติช่องว่างระดับสูงสุด แต่นางไม่เคยพัฒนามิติช่องว่างของนางอย่างจริงจัง
นี่คือสิ่งที่ฟางหยวนต้องการ
เขามอบทรัพยากรให้ไหลั่วหลันขณะที่นางต้องพึ่งพาเขา นี่คือรูปแบบหนึ่งของการควบคุมนาง
ในความเป็นจริงอิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
“กลับไปเร็วเข้า วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าสามารถป้องกันการอนุมานได้ไม่นาน ภัยพิบัติส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิธีการของข้า” ฟางหยวนกระตุ้น
“ตกลง” ไหลั่วหลันพยักหน้า นางไม่กล้าประมาทและเร่งเก็บมิติช่องว่างของนางก่อนจะเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ฟางหยวนใช้วิญญาณท่องแดนอมตะเพื่อย้ายสถานที่ทันที่ วูหยงและคนอื่นๆที่เดินทางมาไม่สามารถจับเขา
“บัดซบ! เขาหนีไปอีกครั้ง!”
“กลิ่นอายยังเหลืออยู่ บางคนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่นี่…”
ใบหน้าของผู้อมตะภาคใต้กลายเป็นน่าเกลียด บางคนโกรธ บางคนหวาดกลัว
“นี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว…เห็นได้ชัดว่าฟางหยวนกําลังช่วยลูกน้องของเขาก้าวข้ามภัยพิบัติเพื่อยกระดับการบ่มเพาะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์จะเลวร้ายลง”
วูหยงกล่าวอย่างช้าๆ “ฟางหยวนมีวิญญาณท่องแดนอมตะ เขาสามารถหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว เราต้องสร้างหอคอยดวงประทีปให้มากขึ้นและร่วมมือกันทําลายธุรกิจของเขาในสวรรค์สีเหลือง สิ่งนี้จะทําให้พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ
แสงสีเขียวหยกส่องประกายระยิบระยับในถ้ำสวรรค์ทะเลปราณก่อนที่ฟางหยวนจะป
รากฏตัวขึ้น
“ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว”
“พวกเขาเริ่มโจมตีธุรกิจของข้าในสวรรค์สีเหลือง” ฟางหยวนหัวเราะเย้ยหยัน
เขาไม่รู้สึกกดดันเนื่องจากเขาพึ่งปล้นสะดมทรัพยากรจากถ้ำสวรรค์ห้าเซียงและถ้ำสวรรค์ทะเลปราณ แม้ธุรกิจของเขาจะถูกปราบปราม แต่มันไม่ใช่ปัญหาสําหรับเขา
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าวังสวรรค์กับภาคใต้ร่วมมือกัน หากฟางหยวนปล่อยเรื่องนี้ไป ในอนาคตเขาจะไม่สามารถอดทนต่อมัน
เขาได้รับทรัพยากรมากมายจากผู้อมตะภาคใต้ แต่ฝ่ายตรงข้ามรู้ข้อมูลเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถโจมตีธุรกิจใหม่ของฟางหยวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ข้าต้องคิดแผน” ฟางหยวนครุ่นคิด