เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1861 ฟางกงเลิกสงสัย
ฐานทัพใหญ่ของตระกูลฟาง
ฟางตี้เฉิงนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว
ผู้อมตะหนุ่มระดับหกผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง เขาคือฟางหยุน
ฟางหยุนเป็นบุตรบุญธรรมของฟางตี้เฉิง เขาโค้งคํานับด้วยความกังวล “ท่านพ่อ ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านต้องพักผ่อนให้เพียงพอ โปรดบอกข้าว่าข้าสามารถท่าสิ่งใดเพื่อท่าน”
ฟางหยุนไม่รู้ตัวเลยว่าพ่อที่อยู่ด้านหน้าเขาเป็นคนอื่น
ในความเป็นจริงฟางหยวนถือเป็นฆาตกรผู้สังหารบิดาของฟางหยุนแต่เขากลับปฏิบัติต่อศัตรูเหมือนบิดาของตนเอง
ฟางตี้เฉิงไอและโบกมือเบาๆ “หยุนเอ๋อ เจ้าไม่จําเป็นต้องทําสิ่งใด ข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร ไม่จําเป็นต้องพูดมาก มานั่งนี่”
ใบหน้าของฟางหยุนผ่อนคลายลง เขายักไหล่และนั่งลงข้างเตียง “ท่านพ่อ ท่านทําให้ข้าตกใจจริงๆ ข้าไม่คิดว่าท่านจะทําเรื่องใหญ่เช่นนี้ มันเสี่ยงมาก น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสซวนปู้จินเสียชีวิต”
ฟางหยุนค่อนข้างเศร้า
ฟางหยวนเคยช่วยชีวิตฟางหยุนในฐานะซวนปู้จิน ฟางหยุนจดจําเรื่องนี้เอาไว้ในใจมาตลอดและให้ความสำคัญกับซวนปู้จินเสมอ
ครั้งนี้ฟางตี้เฉิงไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับแผนการของเขากับฟางหยุน คนที่รู้แผนการนี้มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สามเท่านั้น
แผนการครั้งนี้ไม่ควรมีคนรู้มากเกินไปโดยเฉพาะฟางหยุน
ซวนปู้จินมีความใกล้ชิดกับฟางหยุน เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ชาญฉลาด เขาอาจตระหนักถึงแผนการทั้งหมดผ่านฟางหยุน
ฟางตี้เฉิงเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด
ฟางตี้เฉิงไม่ได้ทําพลาด เขาประเมินซวนปู้จินไว้สูงมากแล้ว แต่เมื่อเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของซวนปู้จิน เขาก็ตระหนักว่าเขาประเมินฟางหยวนต่ําเกินไป
ในความเป็นจริงไม่เพียงฟางตี้เฉิง กระทั่งเทพธิดาจื่อเว่ยและผู้อมตะทั้งโลกก็ประเมินฟางหยวนต่ําเกินไป พวกเขายังคิดว่าฟางหยวนเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด
ฟางหยวนก้าวเข้าสู่ระดับแปดมานานแล้ว เขากระทั่งใช้ตัวตนปลอมบรรพชนทะเลปราณเพื่อรับมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะแรกกําเนิดจากราชันมังกร
ฟางตี้เฉิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด คฤหาสน์วิญญาณอมตะและค่ายกลวิญญาณอมตะที่เขาพึ่งพาถูกมองทะลุอย่างสมบูรณ์โดยฟางหยวน
ฟางตี้เฉิงปฏิบัติต่อชวนปัจนราวกับจระเข้แต่เขาไม่เคยคิดว่ามังกรที่ชั่วร้ายจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หนังจระเข้
ดังนั้นเขาจึงถูกบดขยี้ เขาทําพลาดครั้งใหญ่จนไม่สามารถหวนกลับ
“หยุนเอ๋อ ยื่นมือมา” ฟางตี้เฉิงกล่าว
ฟางหยุนงุนงงแต่เขายังยื่นมือออกไป
ฟางตี้เฉิงวางวิญญาณอมตะสามดวงไว้ในมือของฟางหยุน
“ท่านพ่อ ท่านทําสิ่งใด?” ฟางหยุนตกใจ
“ข้าจะมอบมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาของขาให้เจ้า”
ฟางหยุนมึนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากกล่าว “แต่ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเมฆา ไม่ใช่เส้นทางแห่งปัญญา ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนอนุญาตให้ข้าบ่มเพาะเส้นทางแห่งเมฆาเช่นนั้นหรือ?”
ฟางตี้เฉิงพยักหน้า “ข้าอนุญาตให้เจ้าบ่มเพาะเส้นทางแห่งเมฆาเพราะเจ้ามีบุคคลิกที่เหมาะสมกับเส้นทางสายนี้ แต่เส้นทางแห่งเมฆาเป็นเส้นทางสายเล็กๆ มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับเส้นทางแห่งปัญญา”
“สิ่งสําคัญที่สุด เหตุการณ์ครั้งนี้ทําให้ข้าตั้งค่าถามกับตนเอง ความตายของซวนปู้จินเป็นสิ่งเตือนใจข้า ข้าต้องมองหาผู้สืบทอดบนเส้นทางแห่งปัญญาให้กับตระกูล หากบางสิ่งเกิดขึ้นกับข้า คนผู้นั้นจะเข้ามาแทนที่ข้า”
“ท่านพ่อ อย่ากล่าวเช่นนี้” ฟางหยุนเร่งกล่าว
“ชีวิตไม่แน่นอน อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดไม่ถึง ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องนอนอยู่บนเตียง นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็รู้สถานการณ์ของตระกูลฟาง ข้าต้องเตรียมพร้อมส่าหรับอนาคต” ฟางตี้เฉิงกล่าวด้วยน้ําเสียงที่จริงจังและจริงใจ
ฟางหยุนพยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะเปลี่ยนไปบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา”
ฟางตี้เฉิงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นบุตรชายของข้า ในฐานะบิดา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เหมาะกับเส้นทางแห่งปัญญา เส้นทางแห่งเมฆาเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด ข้ากําลังวางแผนเพื่อตระกูล แต่ข้าจะไม่มองข้ามเจ้า ดังนั้น ข้าต้องมอบมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าให้เจ้าเป็นคนแรก แต่เจ้าไม่จําเป็นต้องเปลี่ยนไปบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้ามีรากฐานบนเส้นทางแห่งเมฆาอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากและเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ หากเจ้าเปลี่ยนเส้นทางตอนนี้”
“เจ้าเพียงเก็บมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าเอาไว้ ในอนาคตหากไม่มีทางเลือก เจ้าสามารถเปลี่ยนมาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา หากข้าจากไปในวันหนึ่ง เจ้าสามารถเลือกผู้สืบทอดที่เหมาะสมเพื่อส่งต่อมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ท่านพ่อ ท่านฉลาดมาก ขาเข้าใจแล้ว!” ฟางหยุนหัวเราะ เขารู้สึกผ่อนคลายลงทันทีที่รู้ว่าตนเองไม่ต้องบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา
“ไปเถอะ เจ้าเด็กเหลือขอ พ่อต้องการพักผ่อน ทําความคุ้นเคยกับวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาทั้งสามดวงเป็นอันดับแรก” ฟางตี้เฉิงโบกมือ
“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน” ฟางหยุนจากไปอย่างรวดเร็ว
มีเพียงร่างแยกของฟางหยวนเท่านั้นที่เหลืออยู่ในห้อง
เขาปิดเปลือกตาลงและไตร่ตรอง ร่างกายของข้าเป็นของฟางตี้เฉิง มันไม่มีข้อบกพร่องในแง่ของเลือด ฟางตี้เฉิงยังไม่ตาย ดวงวิญญาณของเขาอยู่กับร่างหลักของข้า ดังนั้นป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยวิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ดวงวิญญาณของข้าสามารถผสานตัวเข้ากับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์และไม่มีข้อบกพร่อง”
‘อย่างไรก็ตามเพียงสิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ’
ร่างแยกฟางตี้เฉิงของฟางหยวนคิดถึงฟางกง
แม้ฟางหยวนจะไม่คุ้นเคยกับฟางกงมากนักแต่เขาเข้าใจธรรมชาติของฟางกง
ภายนอกฟางกงอาจดูกล้าหาญ เลือดร้อน และไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริงภายใต้ความเดือดร้อนของเขา เขามีไหวพริบและระวังตัวมาก
เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากแผนการต่อต้านเฉินอี้
เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่ยิ่งใหญ่ เขาซ่อนระดับการบ่มเพาะและปลอมตัวเป็นผู้อมตะทั่วไป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาระเบิดพลังออกมาและโจมตีเฉินอี้อย่างรุนแรง นั่นทําให้เฉินอี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่
ฟางหยวนรู้ว่าการหลอกลวงคนประเภทนี้ไม่สามารถพึ่งพาเพียงคําว่าไม่พบข้อบกพร่องที่สามารถพบได้
เขาต้องแสดงละครฉากใหญ่
“โอ้ ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองมอบมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาให้ฟางหยุนงั้นหรือ?” ฟางกงได้รับข่าวนี้ในไม่ช้า
คนที่รายงานข่าวคือหลานชายในสายเลือดของเขา ฟางเล้ง
ฟางเล้งแก่กว่าฟางหยุนเล็กน้อย ทั้งสองสนิทกันมาก เมื่อฟางหยุนได้รับมรดก เขาจึงไม่สามารถซ่อนมันจากพี่ชายที่เขานับถือผู้นี้
เห็นได้ชัดว่าฟางเล้งฉลาดกว่าฟางหยุน
ในคืนนั้นเขารายงานข่าวนี้กับฟางกงและทําให้ฟางกงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฟางกงเข้าใจความตั้งใจของของฟางตี้เฉิง
สถานการณ์ภายนอกของตระกูลฟางค่อนข้างหนักหน่วงแต่ภายในก็มีการต่อสู้เช่นกัน
การแย่งชิงทรัพยากรทําให้เกิดความขัดแย้งโดยธรรมชาติ
ตระกูลฟางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย นั่นคือฝ่ายของฟางกงและฝ่ายของฟางตี้เฉิง
ทั้งสองฝ่ายทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความขัดแย้งภายใน แม้ฟางกงจะมีฟางฮั่วเฉิง แต่ฟางตี้เฉิงครอบครองมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาซึ่งเป็นรากฐานของฝ่ายหลังมาตลอด
ฟางกงขมวดคิ้วเพราะเขาเคยคิดว่าเขาอาจมีโอกาสขอมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญานี้จากฟางตี้เฉิง
ครั้งนี้ฟางตี้เฉิงเกือบเสียชีวิตขณะที่มรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่ในมือของเขา มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของตระกูลฟางหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นกับเขา
นี่เป็นผลประโยชน์ของตระกูล หากฟางกงกดดันฟางตี้เฉิง มีโอกาสที่เขาจะประสบความสําเร็จในการบังคับให้ฟางตี้เฉิงส่งมอบมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญา
มีความแตกต่างระหว่างการเมืองของตระกูลกับนิกาย
ตระกูลให้ความสําคัญกับสายสัมพันธ์ในครอบครัว มรดกจะถูกส่งผ่านผู้สืบทอดทางสายเลือด แม้ฟางหยุนจะเป็นบุตรบุญธรรมของฟางตี้เฉิง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก ในอนาคตเมื่อฟางตี้เฉิงเกษียณ ตําแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองจะถูกส่งต่อให้ฟางหยุนตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล
ตระกูลฟางมีผู้อมตะจานวนมากแต่ตําแหน่งนี้ต้องเป็นของฟางหยุนเท่านั้น
เว้นเพียงฟางตี้เฉิงจะมอบมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาให้กับคนที่โดดเด่นมากกว่าฟางหยุน
ในความเป็นจริงมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญานี้ถูกส่งต่อให้ฝ่ายของเขาจากรุ่นสู่รุ่นมาตลอด
ฟางหยุนบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเมฆา เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สืบทอดมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญานี้ เป็นจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดของฝ่ายฟางตี้เฉิง
ฟางกงต้องการใช้จุดอ่อนนี้แต่เขาไม่คาดหวังว่าฟางตี้เฉิงจะหยุดแผนการของเขาก่อนที่เขาจะเริ่มมัน
“สมกับเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งปัญญา” ฟางกงผ่อนคลายลงและโบกมือ
ฟางเล้งเข้าใจ “ข้าขอลา”
“เราพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว เช่นนั้นก็ลืมมันไปซะ ท้ายที่สุดพวกเราก็เป็นสมาชิกตระกูลฟางเช่นกัน เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน” ฟางกงไม่ได้อารมณ์เสียมากนักแต่เขายังกังวลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามแผนการของฟางตี้เฉิงประสบความสําเร็จ การเสียสละชวนปัจนเพื่อปรับแต่งวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เป็นผลงานของฟางตี้เฉิง นี่ทําให้ฝ่ายของฟางกงได้รับแรงกดดันมากขึ้น
ฟางกงต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่าง
ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลฟางผู้นี้ดูแลตระกูลมานานหลายปี เขาไม่เพียงต้องดูแลการบ่มเพาะของตนเองและเลี้ยงดูคนรุ่นหลังแต่เขายังต้องนําตระกูลฟางต่อสู้กับศัตรูภายนอกและให้ความสนใจกับความขัดแย้งภายใน
“ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองดําเนินการอย่างรวดเร็ว ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ เขาไม่ใช่การปลอมตัวของชวนปัจนอย่างแน่นอน” ร่องรอยของความสงสัยสุดท้ายจางหายไปจากจิตใจของฟางกงในที่สุด