เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1317 แข่งขันชงชา
แปลโดย iPAT
เฉียวซื่อหลิวชงชาเกลียวหลิวเพียงถ้วยเดียวเพื่อฟางหยวน
เรื่องนี้เปลี่ยนความสำคัญของชาเกลียวหลิวถ้วยนี้ทันที
การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปรากฏความยินดีบนใบหน้าของเขาแต่ในใจยังสงบนิ่งและไร้ระลอกคลื่นใดๆ
‘น่าเสียดาย ต่อให้งดงามเพียงใด หากปราศจากชีวิตนิรันดร์ เจ้าก็จะกลายเป็นกองกระดูกในที่สุด’
‘ความงามเพียงผิวเผินแต่ผู้คนไม่สามารถหยุดดื่มด่ำกับมันได้’
‘แต่เทพธิดาเถียนลู่เป็นสหายที่ดีของเฉียวซื่อหลิวจริงๆ พวกนางทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม’
ชาที่ชงเพียงถ้วยเดียวให้กับฟางหยวนทำให้การแสดงออกของลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยกลายเป็นแข็งทื่อ
เฉียวซื่อหลิวยิ้ม “ชาเกลียวหลิวเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความปรารถนาดี ข้าชงชามนตร์เสน่ห์มาให้กับทุกท่าน เชิญชิม”
นางโบกแขนเสื้อและส่งชาห้าถ้วยออกมาบนโต๊ะ
ชานี้แตกต่างจากชาเกลียวหลิว มันไม่ได้อยู่ในถ้วยแต่อยู่ในจานลายครามสีขาว
ตรงกลางของจานมีน้ำชาอยู่เล็กน้อย
“ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาที่มีชื่อเสียงของตระกูลเฉียว ผู้ใดจะคิดว่าคืนนี้ข้าจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง” ลั่วมู่ซื่อกล่าวแก้เขินแต่ในความเป็นจริงสายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ถ้วยชาของฟางหยวน
หลุนเฟยกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เขากัดฟันและยกจานลายครามขึ้นมาจิบ
“ชาเลิศรส!” เขาอุทานออกมาแต่ท่าทางของเขากลับดูไม่เป็นธรรมชาติ
ในความเป็นจริงชามนตร์เสน่ห์เป็นชาระดับสูงกว่าชาเกลียวหลิว แต่ชาเกลียวหลิวเป็นชาเฉพาะตัวของเฉียวซื่อหลิว ขณะที่ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาของตระกูลเฉียว ชาของกองกำลังใหญ่ย่อมโดดเด่นกว่าชาที่ผลิตขึ้นโดยผู้อมตะบางคน
อย่างไรก็ตามลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยกลับยินดีทิ้งชามนตร์เสน่ห์เพื่อชาเกลียวหลิว
“ชามนตร์เสน่ห์ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีรสค้างอยู่ที่ลำคอ ซื่อหลิว ข้าจะนำชาธารแสงออกมาได้อย่างไรเมื่อเจ้านำชาชนิดนี้ออกมา?” เทพธิดาเถียนลู่ยิ้ม
แต่เฉียวซื่อหลิวไม่ได้สุภาพกับสหายสนิทของนางแม้แต่น้อย “อย่านำออกมา ข้าเบื่อชาธารแสงของเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังรอชาดอกไม้เมามายของเฉิงลิ่ว ลือกันว่าชาชนิดนี้เกิดจากแรงบันดาลใจของเขาเมื่อเขาตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ข้าสงสัยว่าวันนี้ข้าจะได้ลิ้มรสชาตชาชนิดนี้หรือไม่?”
“ข้ารู้สึกละอายใจนัก” เฉิงลิ่วลูบจมูกของตนและเผยรอยยิ้มขมขื่น “ชาดอกไม้เมามายของข้าไม่มีสิ่งใดพิเศษ มันยังไม่เพียงพอที่จะนำออกมาในวันนี้”
เทพธิดาเถียนลู่ยิ้ม “ซื่อหลิว เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้กับคนรักของข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถดื่มชาดอกไม้เมามาย คนนอกหยุดฝันถึงมัน!”
ใบหน้าของนางแสดงออกด้วยความรักและความภาคภูมิใจ
ผู้อมตะเฉิงลิ่วมองเทพธิดาเถียนลู่ด้วยคามรัก ทั้งสองลอบจับมือกันใต้โต๊ะ
เฉียวซื่อหลิวถอนหายใจ “โอ้ ข้าสงสัยนักว่าเมื่อใดจะมีคนชงชาให้ข้าบ้าง?”
มีความรู้สึกหดหู่ใจอยู่ในถ้อยคำของนาง
ในเวลานี้แสงจันทร์ส่องเข้ามาในศาลาและทำให้เทพธิดาผู้นี้ยิ่งงดงามมากขึ้น
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรู้สึกถึงร่างกายที่รุ่มร้อนขึ้นทันที ลั่วมู่ซือยืนขึ้น “เทพธิดาซื่อหลิว ข้ามีชาที่เรียกว่าเก้ากลิ่นหอม ข้าผลิตมันขึ้นมาด้วยตนเอง ข้าอยากมอบให้ท่านในวาระอันเป็นมงคลนี้”
หลุนเฟยไม่เต็มใจที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เขาเร่งกล่าวต่อ “ข้าเตรียมชาของข้าไว้เช่นกัน นี่คือชาหยินหยาง มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างหยินและหยาง เทพธิดาเชิญชิม”
ผู้อมตะทั้งสองเสนอชาของตนเองให้เฉียวซื่อหลิวเช่นเดียวกับเฉียวซื่อหลิวที่มอบชาเกลียวหลิวให้ฟางหยวน
เฉียวซื่อหลิวจิบชาของทั้งสองและเผยรอยยิ้ม “เก้ากลิ่นหอมสมชื่อ ช่วงเวลาที่ชาอยู่ในปาก กลิ่นหอมจะม้วนตัวอยู่รอบๆลิ้น หากพิจารณาอย่างระมัดระวัง มีเก้าช่วงเวลาที่กลิ่นหอมเปลี่ยนไป มันพิเศษจริงๆ”
“ฮ่าฮ่า เทพธิดาเยินยอมากไปแล้ว” ลั่วมู่ซือหัวเราะอย่างเต็มที่ อารมณ์ไม่ดีก่อนหน้านี้ของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์
เฉียวซื่อหลิวกล่าวต่อ “ชาหยินหยางแม้จะไม่ใช่ชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน การชงชามีสามระดับ ระดับแรกคือหยินและหยางไม่ชัดเจน ระดับที่สองคือหยินและหยางแยกจากกัน ระดับที่สามคือหยินหยางหลอมรวม ชาหยินหยางของท่าน หยินและหยางหมุนวนรอบกัน หลุนเฟย ทักษะของท่านบรรลุถึงระดับที่สองของการชงชาชนิดนี้แล้ว อาจมีน้อยกว่าสิบคนในภาคใต้ที่บรรลุถึงระดับนี้ มันคู่ควรกับการเป็นชาของผู้อมตะบนเส้นทางอาหารเช่นท่านอย่างแท้จริง”
ชา สุรา และอาหาร ในโลกใบนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา
มีหลายวิธีในการชงชา มันไม่ง่ายและตื้นเขินหมือนการใส่ใบชาลงไปในน้ำร้อน
ไม่ว่าจะเป็นชาเกลียวหลิว ชามนตร์เสน่ห์ ชาดอกไม้เมามาย ชาเก้ากลิ่นหอม และชาหยินหยาง พวกมันล้วนเป็นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสิ้น
เส้นทางอาหารเป็นหนึ่งในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ มันหายากและเป็นที่สนใจของผู้คน
‘หลุนเฟยบ่มเพาะบนเส้นทางอาหารงั้นหรือ?’ ฟางหยวนชำเลืองมองหลุนเฟยและรู้สึกประหลาดใจ
‘ชายผู้นี้มาจากที่ใด? หากข้าได้รับมรดกบนเส้นทางอาหารของเขา มันอาจช่วยข้าได้มาก’ ฟางหยวนเกิดเจตนาร้ายขึ้นทันที
‘ข้าต้องตรวจสอบภูมิหลังของหลุนเฟยและดูว่าข้าจะสามารถทำสิ่งใดหรือไม่?’
‘หากข้าลงมือ ตัวตนของวูอี้ไห่ต้องไม่เกี่ยวข้อง!’
ด้วยตัวตนของวูอี้ไห่ ฟางหยวนไม่สามารถสังหารหลุนเฟยได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะและไม่สามารถใช้วิธีการของฝ่ายปีศาจ
กองกำลังฝ่ายธรรมะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่กองกำลังเหล่านี้จะไม่สังหารกันเองโดยไร้เหตุผล
ตัวอย่างเช่นตระกูลวู พวกเขามีทรัพย์สินและธุรกิจมากมาย ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถสังหารผู้อมตะของตระกูลวู แต่พวกเขาสามารถทำลายแหล่งทรัพยากรและทำให้ฝ่ายตรงข้ามปวดหัว
‘จะดีกว่าหากข้าสำรวจและตรวจสอบมูลค่ามรดกของหลุนเฟยเป็นอันดับแรก หากไม่สูงนัก ข้าก็จะลืมมันไป’
‘หากมันมีค่ามาก ข้าจะเคลื่อนไหว ข้าต้องระวังและไม่ปล่อยให้เขาสามารถระเบิดทำลายดวงวิญญาณของเขา’
ไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับวิญญาณอมตะ มันเป็นเรื่องยากที่จะฉกชิง
แต่การสังหารหลุนเฟยและจับดวงวิญญาณของเขาจะทำให้ฟางหยวนได้รับมรดกบนเส้นทางอาหารด้วยการค้นวิญญาณ
ฟางหยวนต้องการมรดกบนเส้นทางอาหารมาตลอด
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำสิ่งใดกับเรื่องนี้
เมื่อไม่มีการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ เขาก็ต้องปล้นสะดมจากผู้อื่น
ฟางหยวนไม่รู้สึกผิดใดๆทั้งสิ้น
“ข้าใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อชงชาถ้วยนี้ แต่เมื่อได้รับคำชมจากเทพธิดา มันก็คุ้มค่าแล้ว” น้ำเสียงของหลุนเฟยสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฟางหยวนและกล่าว “ข้าสงสัยว่าท่านวูอี้ไห่จะนำชาของท่านออกมาให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาหรือไม่?”
เขาไม่คิดแม้แต่น้อยว่าฟางหยวนกำลังวางแผนที่จะฆ่าเขาอยู่ในขณะนี้
“ทะเลตะวันออกเป็นภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแง่ของทรัพยากร ท่านวู้อี้ไห่อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายปี ชาที่เขานำออกมาย่อมเหนือกว่าคนอื่นๆอย่างแน่นอน” ลั่วมู่ซือนั่งลงและกล่าวอย่างกระตือรือร้น
ฟางหยวนยิ้ม
ผู้อมตะชายทั้งสองกำลังคิดว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันเพื่อหวังที่จะกำจัดคนผู้นี้ออกไป
พวกเขายกย่องฟางหยวนอย่างมากและทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธ
เฉียวซื่อหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
หากวูอี้ไห่ไม่สามารถนำชาที่ดีออกมา สถานการณ์จะกลายเป็นน่าอึดอัดใจ กระทั่งชื่อเสียงของเขาก็จะลดลง
เหตุผล?
เพราะงานนี้จัดขึ้นโดยเฉียวซื่อหลิว ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาหลักของงานนี้ ในขณะที่ชาอื่นๆเป็นชารอง
แขกไม่สามารถบดบังเจ้าภาพ นี่เป็นกฎของงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ตระกูลเฉียวอาจไม่สนใจเรื่องนี้แต่ชื่อเสียงของวูอี้ไห่ก็ยังจะได้รับผลกระทบ
ฝ่ายธรรมะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากที่สุด!
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ลังเลที่จะนำชาออกมา “เชิญชิม”
ดวงตาของเทพธิดาเถียนลู่ส่องประกายขึ้น นางเป็นคนแรกที่ยกถ้วยชาขึ้น “ข้าสงสัยนักว่าชาของท่านวูอี้ไห่จะเป็นเช่นไร?”
อย่างไรก็ตามคนแรกที่ดื่มชากลับไม่ใช่นางแต่เป็นหลุนเฟย
เขาดูค่อนข้างรีบร้อน
หลังจากทั้งหมดนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะล้มคู่ต่อสู้ ในฐานะผู้อมตะบนเส้นทางอาหาร เขามีความชำนาญในด้านนี้ แล้วเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้ได้อย่างไร?
เพียงจิบเดียว เขาขมวดคิ้วและถ่มน้ำลายออกมา “ชาอันใด!?”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ลั่วมู่ซื่อดื่มและวางถ้วยชาลง “นี่เป็นชาที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ข้าเคยชิมมาตลอดชีวิต มันอาจแย่ยิ่งกว่ากระทั่งชาทั่่วไป!”
น้ำเสียงของเขาปราศจากความสุภาพและเคารพอย่างสิ้นเชิง
ทั้งสองฉวยโอกาสโจมตีฟางหยวนอย่างหนักหน่วง
เทพธิดาเถียนลู่ต้องการไกล่เกลี่ยสถานการณ์แต่หลังจากดื่มชา นางกลับเผยรอยยิ้มขมขื่น “ชานี้ทั้งเค็มและขมเหมือนน้ำทะเล”
ฟางหยวนยิ้มและยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “มันคือน้ำทะเล”
“อันใด?”
“เจ้านำน้ำทะเลออกมาจริงๆ เจ้าพยายามทำให้เทพธิดาซื่อหลิวอับอาย!”
ลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยเร่งโจมตีด้วยวาจา
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางหยวนหายไปและแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม “ข้าไม่ชอบดื่มชา หากข้าต้องเลือก น้ำทะเลก็คือชาของข้า”
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ”
“ข้าใช้ชีวิตในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออกมาตลอด ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพา ข้าถูกกดดันโดยภัยพิบัติและความยากลำบากมากตลอด”
“ทุกวันข้าจะตื่นแต่เช้าและตักน้ำทะเลขึ้นมาดื่ม นี่เป็นการเตือนตัวของข้าเองไม่ให้หย่อนยานและพยายามต่อไป”
เฉียวซื่อหลิวค่อยๆยกถ้วยชาของนางขึ้นและจิบอย่างเงียบๆก่อนจะวางลงอย่างช้าๆ
นางยิ้มด้วยริมฝีปากสีดอกกุหลาบ “นี่เป็นชาที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยดื่มมาทั้งชีวิต ขอบคุณอี้ไห่ นี่เป็นชาที่ดี ข้าประทับใจมาก”
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดไม่ออก