ร่างกายของปาเต๋อสั่นเทาเมื่อเขาฟื้นคืนสติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอาย
ก่อนที่จื่อกุ้ยจะหมดสติ เขาให้ฟางหยวนยืมวิญญาณทั้งหมดของค่ายกลวิญญาณนี้ ดังนั้นตอนนี้ฟางหยวนจึงกลายเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด
‘ดีมาก ตอนนี้ค่ายกลวิญาณนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ข้ามีอำนาจเหนือทุกคนในสนามรบแห่งนี้!’
การเสียสละวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดไม่ได้ไร้ประโยชน์
ด้วยวิธีนี้เขาจะมีพลังอำนาจเพียงพอและสามารถรอคอยโอกาส
เขากล่าวกับผู้อมตะฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งขรึม “ออกไปให้ห่างจากข้า หากผู้ใดเข้าใกล้ข้าจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนทรยศและจะถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม”
“หมายความว่าอย่างไร?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมองฟางหยวนด้วยความระมัดระวัง
ปาเต๋อเร่งอธิบาย “ข้าเห็นด้วยกับวูอี้ไห่ ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เขา จื่อกุ้ยได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปแล้ว มันเกิดการจากลอบโจมตีโดยคนทรยศปาฉวนฟง!”
เขาส่งภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผ่านวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งหมด
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะตกตะลึง พวกเขารู้แล้วว่าหากฟางหยวนไม่กอบกู้ค่ายกลวิญญาณนี้ พวกเขาจะตายกันหมด
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้แต่พวกเขาก็เริ่มระวังตัวมากขึ้นเช่นกัน
ปาเต๋อมองฟางหยวนก่อนจะกลับไปจัดการสถานการณ์
แม้ปาเต๋อจะไม่สามารถรักษาจื่อกุ้ย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะไม่สามารถทำได้
ปาฉวนฟงถูกสาปแช่งอย่างหนัก
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะบางส่วนพักผ่อนและรักษาอาการบาดเจ็บของตนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่รออยู่
ในเวลาเดียวกัน ไกลออกไปจากค่ายกลวิญญาณ
ร่างสีดำขนาดมหึมาราวกับภูเขาเริ่มขยับเขยื้อน
มันอ้าปากและสูดหายใจลึก
กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาก่อนที่มันจะยิงลำแสงสีเทาออกมาอีกครั้ง
ปราศจากเสียง ปราศจากการระเบิด
มันเงียบมาก
แต่แนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณกลับส่องประกายสว่างไสว
เสียงดังขึ้นทำให้กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกประหม่า
หากค่ายกลวิญญาณไม่สามารถป้องกันสิ่งนี้ พวกเขาจะกลายเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง
คนฉลาดหลายคนเริ่มสังเกตการแสดงออกของฟางหยวน
ฟางหยวนเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของทุกคน
อย่างไรก็ตามการแสดงออกของฟางหยวนยังสงบนิ่งมาตลอด ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาความคิดของเขา
แต่ความสงบของฟางหยวนก็หมายถึงความมั่นใจและความปลอดภัย นี่ทำให้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกผ่อนคลายลง
ไม่นานหลังจากนั้นลำแสงสีเทาก็หยุดลงขณะที่แสงหลากหลายสีสันของแนวป้องกันที่สามก็เลือนหายไป
“พวกเราป้องกันมันได้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ทำได้ดีมากท่านวูอี้ไห่!”
ขวัญกำลังใจของผู้อมตะฝ่ายธรรมะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งขณะที่พวกเขาต้องมองฟางหยวนในมุมมองใหม่
“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ วูอี้ไห่ เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้” จื่อกุ้ยตื่นขึ้นแล้วและพึมพำด้วยความยินดี
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เขายังต้องการให้ฟางหยวนควบคุมค่ายกลวิญญาณนี้ต่อไป
เฉียวซื่อหลิวมองไปที่ฟางหยวนเช่นกัน
ฟางหยวนช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ เขากลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เฉียวซื่อหลิวไม่มีความรู้สึกใดๆต่อฟางหยวน แต่ตอนนี้เมื่อนางมองเขา หัวใจของนางกลับเต้นแรงขณะที่นางเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด
ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทากับค่ายกลวิญญาณ มันคือการต่อสู้ระหว่างหอกและโล่
แต่ในที่สุดฝ่ายหลังก็ได้รับชัยชนะ โล่ที่แข็งแกร่งสามารถป้องกันหอกที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อฝุ่นควันจางหาย จ้าวเย่ฮุ้ยก็มองค่ายกลวิญญาณด้วยดวงตาเบิกกว้าง
อาณาจักรแห่งความฝันไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
มันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ในแนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณ ฟางหยวน ปาเต๋อ เฉียวซื่อหลิว และผู้อมตะฝ่ายธรรมะคนอื่นๆได้รับการคุ้มครองแต่มันสามารถป้องกันอาณาจักรแห่งความฝันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
“เราจะบุกเข้าไปหรือไม่?” อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆรู้สึกประหลาดใจมาก นี่ไม่เหมือนสิ่งที่ราชันภูเขาม่วงบอกพวกเขา
ไม่นานมานี้พวกเขาได้รับการถ่ายทอดเสียงจากราชันภูเขาม่วง ชายชราบอกว่าค่ายกลวิญญาณจะถูกทำลาย พวกเขาต้องบุกโจมตีในช่วงเวลานั้นเพื่อคว้าชัยชนะ
“จื่อกุ้ยหมดสติไปแล้ว มันเกิดสิ่งใดขึ้น?” ไกลออกไป ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจ
มันกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
พวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ราชันภูเขาม่วงปกปิดกลิ่นอายของตนมาตลอด คนอื่นๆไม่ตระหนักถึงการคงอยู่ของเขา หลังจากมาถึงที่นี่ เขาได้เตรียมความพร้อมสำหรับแผนการใหญ่ของเขาไว้แล้ว
ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงต้องใช้วิธีการดังกล่าว!
ทันใดนั้นโลกพลันเปลี่ยนสี
แสงสีรุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ราวกับคลื่นยักษ์ทำให้กลุ่มผู้อมตะตกตะลึง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” สมาชิกนิกายเงาปิดเปลือกตาลง
ค่ายกลวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะต่างตื่นตระหนก “เกิดสิ่งใดขึ้น? นี่คือท่าไม้ตายอมตะงั้นหรือ?”
ใบหน้าของฟางหยวนปรากฏให้เห็นถึงความประหม่า เขาประกาศ “ท่าไม้ตายอมตะนี้ไม่ได้เล็งเป้ามาที่พวกเราหรือค่ายกลวิญญาณ แต่มันเป็นการโจมตีอาณาจักรแห่งความฝันโดยตรง!”
หลังจากการระเบิดที่รุนแรง แสงสีรุ้งก็จางหายไปและเผยให้เห็นรังไหมแสง
“อาณาจักรแห่งความฝันหายไป พวกมันเปลี่ยนเป็นรังไหมแสงจำนวนนับไม่ถ้วน!”
“โอ้ มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“วิธีการทั่วไม่สามารถทำเช่นนี้ เว้นเพียงมันจะเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งความฝัน!”
“หมายความว่าเป้าหมายของปีศาจอมตะเหล่านี้ก็คืออาณาจักรแห่งความฝัน”
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะกรีดร้อง
ท่ามกลางพวกเขา บางคนมองฟางหยวนด้วยสายตาดุร้าย “ข้าบอกแล้วว่าธุรกิจซื้อขายโอกาสเป็นความคิดที่ไม่ดี! มันจะกระตุ้นความทะเยอทะยานของฝ่ายปีศาจ สิ่งนี้มีประโยชน์มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย มิฉะนั้นผู้อตะมากมายจะไม่สนใจผลที่ตามมาและโจมตีพวกเราได้อย่างไร?”
คำกล่าวเหล่านี้ทำให้การแสดงออกของผู้อมตะส่วนใหญ่เปลี่ยนไป
แต่ฟางหยวนไม่ตอบสนอง
ปาเต๋อมองผู้อมตะตระกูลเซี่ยด้วยความโกรธธและตะโกน “หุบปาก!”
ในเวลาเช่นนี้ตระกูลเซี่ยยังหว่านความไม่ลงรอยโดยเฉพาะเมื่อคนผู้นี้กำลังยั่วยุตัวตนที่สำคัญเช่นฟางหยวน นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาเกินไป ปาเต๋อโกรธมาก
แต่ในเวลาต่อมาผู้อมตะตระกูลเซี่ยผู้นั้นกลับหายไปจากจุดเกิดเหตุและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนอกค่ายกลวิญญาณ
“เหตุใดเขาถึงออกไป?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะตกตะลึง
ฟางหยวนหัวเราะ “คนผู้นี้มีเจตนาร้าย เขาพยายามหว่านความไม่ลงรอย ดังนั้นข้าจึงส่งเขาออกไปข้างนอก ขยะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ตอนนี้เราควรใช้เขาตรวจสอบความสามารถของศัตรู”
“บัดซบ! ผู้ใดให้อำนาจเจ้าทำเรื่องนี้ เจ้ากำลังเพิกเฉยต่อสิทธิ์ของเรา!”
“เร็ว ให้ผู้อมตะของตระกูลเรากลับมา!”
“เร็ว!”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นชาขณะที่กลุ่มผู้อมตะตระกูลเซี่ยที่กรีดร้องหายตัวไปทันที
ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นนอกค่ายกลวิญญาณ เมื่อเห็นค่ายกลวิญญาณอยู่ในระยะไกล พวกเขาต่างตกตะลึง
“วูอี้ไห่!” ปาเต่อรู้สึกกระวนกระวายใจ “เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
ฟางหยวนมองเขาและกล่าว “ท่านต้องการออกไปอีกคนงั้นหรือ?”
ปาเต๋อตะลึง
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งหมด “…”
หน้าอกของปาเต๋อขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แต่เขายังกล่าว “อย่าลืมว่าวิญญาณอมตะที่ใช้สร้างค่ายกลวิญญาณนี้เป็นของพวกเราทั้งหมด”
เขากำลังขู่
แต่ฟางหยวนกลับหัวเราะ “ท่านคิดว่าตอนนี้วิญญาณเหล่านั้นยังจดจำท่านได้หรือไม่?”
การแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะเปลี่ยนแปลงไป
จื่อกุ้ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เห้อ…ทุกคน นี่คือค่ายกลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยท่านจื่อชิวหยู ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันคนทรยศและป้องกันไม่ให้ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายจากภายใน ดังนั้นแนวป้องกันที่สามและสี่จึงมีเพียงผู้เดียวที่สามารถควบคุม คนอื่นไม่สามารถยุ่งเกี่ยว กระทั่งข้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใด เว้นเพียงวูอี้ไห่จะโอนกรรมสิทธิ์คืนให้ข้าอีกครั้งเท่านั้น”
จื่อกุ้ยมองฟางหยวนอย่างจริงใจและจริงจัง
“ท่านจื่อกุ้ย ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านช่วยพวกเรามามากเกินไปแล้ว ท่านควรพักรักษาตัว” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นชาและบดขยี้ความหวังของจื่อกุ้ยลงทันที
ปาเต๋อเต็มไปด้วยความโกรธ
ผู้อมตะคนอื่นๆกระสับกระส่าย
มันหมายความว่าตอนนี้ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับฟางหยวน
เฉียวซื่อหลิวและคนอื่นๆที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลวูรู้สึกยินดี แต่การแสดงออกของผู้อมตะตระกูลปา ตระกูลเหยา และตระกูลอื่นที่มีความขัดแย้งกับตระกูลวูกลับดูน่าเกลียดมาก
‘จื่อชิวหยู เจ้าแก่โง่!’ บางคนสบถสาปแช่งอยู่ในใจ
จื่อชิวหยูลอบจัดการค่ายกลวิญญาณนี้ภายใต้เหตุผลเรื่องการรักษาความปลอดภัย แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตระกูลจื่อกลับสูญเสียการควบคุมและถูกแทนที่ด้วยคนนอก
“อย่ากังวล ข้า วูอี้ไห่ ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในสถานการณ์นี้พวกเราฝ่ายธรรมะต้องร่วมมือกันฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อก้าวข้ามวิกฤต”
“ตระกูลวูของข้ายังเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ ในสถานการณ์เช่นนี้เราต้องออกหน้ารับผิดชอบอย่างแน่นอน”