เซี่ยเอ๋อเป็นอัจฉริยะของเผ่ามนุษย์หิมะ แต่เผ่ามนุษย์หิมะมีทรัพยากรเพียงเล็กน้อย
นางสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหกในช่วงอายุนี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว แต่หลังจากพบอิงอู๋เซี่ย นางไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ แม้นางจะไม่แสดงออก แต่นางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เมื่อนางเห็นผู้อมตะระดับหก หัวใจที่หนักอึ้งของนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“สวัสดี เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเซี่ยเอ๋อ” เซี่ยเอ๋อแนะนำตัวเอง นางรู้สึกว่านางควรเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาของฟางหยวน
“อืม เรียกข้าว่าลั่วหลัน” ไห่ลั่วหลันยิ้มและลอบประเมินเซี่ยเอ๋อ
นางคิด ‘ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะ? นางเข้าหาพวกเราเพราะเหตุใด? ฟางหยวน…เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่?’
ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงอิงอู๋เซี่ยผู้เดียวที่รู้ ไห่ลั่วหลันรู้เพียงว่าฟางหยวนต้องการให้เซี่ยเอ๋อเข้าร่วมในภารกิจสำรวจไท่ชิวเท่านั้น
“เอาล่ะ หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว เราจะไปกันต่อ” อิงอู๋เซี่ยกล่าว
เขาใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลเพื่อค้นหาตำแหน่งของเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาว
“ไห่ลั่วหลัน ทำงานของเจ้าต่อไป ข้าจะพาเซี่ยเอ๋อไปหาคนอื่นๆ”
หลังกล่าวจบคำทั้งสองก็จากไป
สัญชาตญาณของไห่ลั่วหลันบอกนางว่าการเข้าร่วมของเซี่ยเอ๋อมีเป้าหมายที่ไม่ธรรมดา
ไห่ลั่วหลันเป็นคนทะเยอทะยาน แม้นางจะอยู่ภายใต้ข้อตกลงพันธมิตรและสูญเสียอิสรภาพ แต่นางยังคิดวิธีหลบหนีจากพันธนาการนี้ตลอดเวลา
ผู้ใดจะไม่ต้องการอิสรภาพ?
“รอเดี๋ยว ข้าจะไปกับพวกเจ้า ข้ามีหน้าที่หาหมูป่างาช้าง แต่ข้าหามันไม่พบ ข้าจะขอให้เมี่ยวหยินช่วยข้าหาพวกมัน” ไห่ลั่วหลันบินตามไป
เซี่ยเอ๋อมีความสุขมาก นางต้องการสร้างความใกล้ชิดกับไห่ลั่วหลัน
ขณะเดียวกันไห่ลั่วหลันก็ต้องการตรวจสอบเซี่ยเอ๋อ ดังนั้นนางจึงแสดงออกอย่างเป็นมิตร
“พี่สาวลั่วหลัน ข้าดีใจมากที่ได้พบท่าน” เซี่ยเอ๋อเรียกไห่ลั่วหลันว่าพี่สาวและทำให้สถานะของนางดูต่ำกว่า
‘ผู้หญิงที่โง่เขลา…’ ไห่ลั่วหลันเย้ยหยันอยู่ภายใน
นางเคยเป็นผู้ชนะในสงครามชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ นางมีฝีมือในการวางแผน หากเปรียบเทียบกับเซี่ยเอ๋อที่อาศัยอยู่อย่างสงบสุขในเผ่ามนุษย์หิมะ นางถือเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา
ในไม่ช้าไห่ลั่วหลันก็พบว่าเซี่ยเอ๋อต้องการข้อมูลเกี่ยวกับนิกายหลางหยา
นางใช้ความตั้งใจของเซี่ยเอ๋อเพื่อตรวจสอบฝ่ายหลังต่อไป
เซี่ยเอ๋อไม่สามารถแข่งขันกับไห่ลั่วหลัน นางกำลังจะบอกข้อมูลต่างๆออกมาแต่อิงอู๋เซี่ยกลับกล่าวแทรก “นั่นไม่ใช่หมูป่างาช้างงั้นหรือ? ไห่ลั่วหลัน เจ้าโชคดีมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเมี่ยวหยิน”
ด้วยการชี้นำของอิงอู๋เซี่ย เซี่ยเอ๋อค้นพบสัตว์อสูรบรรพกาล
มันเป็นสัตว์อสูรที่มีร่างกายใหญ่โต มันนอนอยู่บนพื้นและปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา
หัวใจของเซี่ยเอ๋อเต้นแรง นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมูป่างาช้าง
ไห่ลั่วหลันที่ถูกขัดจังหวะรู้สึกโกรธ แต่นางก็ไม่สามารถโต้ตอบอิงอู๋เซี่ย นางพ่นลมหายใจออกมาและบินเข้าไปหาหมูป่างาช้าง
“พี่สาวลั่วหลัน ระวังตัวด้วย” เซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความห่วงใย แต่ภายในลอบยกย่องความกล้าหาญของไห่ลั่วหลัน ด้วยการบ่มเพาะระดับหก เซี่ยเอ๋อคิดว่าไห่ลั่วหลันต้องพึ่งพาเทพธิดาซุ้ยป๋อ
แต่ฉากต่อไปกลับทำให้เซี่ยเอ๋อตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์
ไห่ลั่วหลันดุร้ายยิ่งกว่าหมูป่างาช้าง เมื่อนางต่อสู้ กลิ่นอายของนางเปลี่ยนไปทันที เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวลุกไหม้ขึ้นบนร่างของนาง
‘ผู้อมตะระดับหกที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด อา…แข็งแกร่งนัก!’ เปลือกตาของเซี่ยเอ่อกระตุกเมื่อเห็นการต่อสู้ของไห่ลั่วหลัน
ไห่ลั่วหลันได้รับมรดกและวิญญาณอมตะมาจากนางมารผลาญสวรรค์ ฟางหยวนไม่ได้รับมรดกนี้เพราะเขามีมรดกมากพอแล้ว เขาปล่อยให้ไห่ลั่วหลันใช้วิธีการต่อสู้ของนางต่อไป
ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของไห่ลั่วหลัว หมูป่างาช้างโกรธจัดก่อนจะบ้าคลั่งและหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้
เซี่ยเอ๋อตกใจมาก
ไห่ลั่วหลันระเบิดพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดออกมา สิ่งนี้เกินกว่าความคาดหมายของเซี่ยเอ๋อ
‘พี่สาวลั่วหลันแข็งแกร่งมาก ท่าไม้ตายอมตะของนางทรงพลังจริงๆ’
‘อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่านางปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางความแข็งแกร่งออกมา แต่เหตุใดนางถึงใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งไฟ?’
นางทั้งตกใจและสงสัย
เซี่ยเอ๋อไม่เข้าใจ
เทพธิดาซุ้ยป๋อที่ปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งวารีแต่ใช้วิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและตอนนี้ไห่ลั่วหลันที่ปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางความแข็งแกร่งกลับใช้วิธีบนเส้นทางแห่งไฟ
“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ” หลังจากรวบรวมซากศพของหมูป่างาช้าง ไห่ลั่วหลันก็กลับมา
“พี่สาวลั่วหลันช่างยอดเยี่ยมนัก!” เซี่ยเอ๋อมองไห่ลั่วหลันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
ไห่ลั่วหลันส่ายศีรษะ “มันไม่ถือเป็นสิ่งใด”
“ไม่ ไม่ ท่านน่าทึ่งมาก ท่านเป็นผู้อมตะระดับหกแต่มีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับผู้อมตะทั่วไป” เซี่ยเอ๋อโบกมือ
ไห่ลั่วหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น “นี่ไม่ใช่สิ่งใดจริงๆ เปรียบเทียบกับสมาชิกทั้งหมดของนิกายเงา ข้าธรรมดามาก”
คำตอบของไห่ลั่วหลันทำให้หัวใจของเซี่ยเอ๋อเต้นแรง
ไห่ลั่วหลันกล่าวต่อ “เมื่อเจ้าพบพวกเขา เจ้าจะเข้าใจ ไปกันเถอะ”
ไห่ลั่วหลันเสร็จสิ้นภารกิจของนางแล้วแต่นางยังไม่กลับ นางตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อตรวจสอบเซี่ยเอ๋อ
หลังจากไม่นานพวกนางก็พบกับเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาว
เทพธิดากระต่ายขาวเป็นผู้อมตะระดับหก นางไม่ทรงพลังเหมือนไห่ลั่วหลัน มันอันตรายที่นางจะเดินทางเพียงลำพังในไท่ชิว
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงให้นางทำงานร่วมกับเทพธิดาเมี่ยวหยิน
แน่นอนว่าเมื่อนางกลายเป็นนางเสือดำ นางจะมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด แต่ร่างนางเสือดำก็อยู่ได้ไม่นานนัก
“สวัสดี เซี่ยเอ๋อ” เทพธิดาเมี่ยวหยินเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าเป็นผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะงั้นหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็น” เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว
‘สถานการณ์นี้คือสิ่งใด?’ เซี่ยเอ๋อรู้สึกหดหู่ใจ
เทพธิดาเมี่ยวหยินเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้ นางมีใบหน้าและร่างกายที่งดงามเย้ายวนใจ ภายใต้ชุดสีแดงอมชมพู นางยิ่งดูมีเสน่ห์
สำหรับเทพธิดากระต่ายขาว นางดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กลิ่นอายของนางแตกต่างจากเทพธิดาเมี่ยวหยิน เซี่ยเอ๋อรู้สึกว่านางน่ารักมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น สิ่งนี้ทำให้นางเป็นที่รักและได้รับความไว้วางใจอย่างง่ายดาย
เซี่ยเอ๋อวิเคราะห์อย่างหนัก
นางพบว่าเทพธิดาเมี่ยวหยินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่เทพธิดากระต่ายขาวเป็นผู้อมตะระดับหกคล้ายนาง
แต่หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับไห่ลั่วหลัน เซี่ยเอ๋อไม่กล้ามองเทพธิดากระต่ายขาวเหมือนผู้อมตะระดับหกทั่วไป
หลังจากสนทนา ทุกคนให้การต้อนรับเซี่ยเอ๋ออย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่เซี่ยเอ๋อค่อนข้างปากแข็ง ไม่ใช่ว่านางกลายเป็นนักวางแผน แต่เพราะมีหญิงงามมากมายอยู่รอบๆ นี่ทำให้เซี่ยเอ๋อรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เหตุใดนางถึงมาที่นี่?
เพราะนางต้องการแต่งงานกับฟางหยวน
หากนางประกาศตัวเองว่านางจะเป็นภรรยาในอนาคตของฟางหยวนต่อหน้าหญิงงามเหล่านี้ นั่นไม่ใช่การยั่วยุงั้นหรือ? นางไม่ได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น
ในเวลาเดียวกันคำถามหนึ่งก็กดดันเซี่ยเอ๋อ
‘ผู้อมตะหญิงเหล่านี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับฟางหยวน?’
เซี่ยเอ๋อเป็นคนนอก มันช่วยไม่ได้ที่นางจะคิดเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
มันเป็นเรื่องปกติมาก
“เอาล่ะ เจ้าได้พบกับสมาชิกนิกายเงาทั้งหมดแล้ว แต่ยังมีคนพิเศษอีกหนึ่ง” อิงอู๋เซี่ยกล่าว
“พิเศษ?” หัวใจของเซี่ยเอ๋อยิ่งตึงเครียด
นางอยากถามว่า ‘ความสัมพันธ์พิเศษกับฟางหยวนงั้นหรือ? เขาเป็นชายหรือหญิง?’
แต่เซี่ยเอ๋อไม่ได้ถามโดยตรง
อิงอู๋เซี่ยกล่าวต่อ “คนผู้นี้คือไป่หนิงปิง นางไม่ใช่สมาชิกของนิกายเงา แต่นางเป็นพันธมิตรของเรา เราต่อสู้มาด้วยกัน แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่…ท่ามกลางพวกเรา นางแข็งแกร่งที่สุด”
อิงอู๋เซี่ยลังเลเล็กน้อยกับประโยคสุดท้าย
แต่ผู้อมตะคนอื่นๆไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้
พลังการต่อสู้ของไห่ลั่วหลันด้อยกว่าไป่หนิงปิง หลังจากทั้งหมดร่างสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงไม่มีประโยชน์ต่อวิธีบนเส้นทางแห่งไฟ
พลังการต่อสู้ของเทพธิดาเมี่ยวหยินใกล้เคียงกับไห่ลั่วหลัน
เทพธิดากระต่ายขาวสามารถถูกมองข้าม สำหรับนางเสือดำ นางโหดเหี้ยมแต่นางยังขาดวิธีการโจมตีที่ทรงพลัง
อิงอู๋เซี่ยอาจจะเหนือกว่าไป่หนิงปิงด้วยการคงอยู่ของท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน แต่วิญญาณอมตะส่วนใหญ่ของเขาถูกฟางหยวนยึดไปแล้ว
ไป่หนิงปิงครอบครองมรดกที่แท้จริงของไป่เซียงและด้วยร่างสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด นางจึงแข็งแกร่งที่สุด
“แข็งแกร่งกว่าพี่สาวลั่วหลันงั้นหรือ?” เซี่ยเอ๋อรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ไห่ลั่วหลันกล่าว “ความแข็งแกร่งของข้าอยู่ในระดับกลางๆในหมู่พวกเราเท่านั้น”
เซี่ยเอ๋อตกใจมาก นางคิด ‘สวรรค์ เหตุใดถึงมีสัตว์ประหลาดมากมายอยู่ที่นี่? การบ่มเพาะระดับหกแต่แข็งแกร่งที่สุด คนผู้นี้คือผู้ใดกันแน่? พลังการต่อสู้ขอนางสูงเพียงใด?’
“ตอนนี้เราจะพาเจ้าไปที่นั่น ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าล่วงหน้า ทัศนคิของนางแตกต่างจากพวกเรา” อิงอู๋เซี่ยนำทาง
ไม่นานพวกนางก็พบกับไป่หนิงปิง
“บึม บึม บึม…”
เสียงระเบิดดังขึ้น
“กรอ…”
ต่อมาเสียงครวญครางราวกับสัตว์อสูรใกล้ตายก็ดังตามมา
“นี่…” เซี่ยเอ๋อตกใจมากเมื่อเห็นไป่หนิงปิงที่ต่อสู้อยู่ในวงล้อมของฝูงสัตว์อสูรบรรพกาล
“พวกเจ้ามาถูกเวลาจริงๆ ข้าพบที่ที่ดีแล้ว” ไป่หนิงปิงหยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นไป่เซียงขณะเดินเข้าไปหากลุ่มผู้อมตะหญิง
เซี่ยเอ๋อตกใจอีกครั้ง
‘งดงามมาก!’
ความงามและกลิ่นอายของไป่หนิงหนิงน่าทึ่งมาก
หัวใจของเซี่ยเอ๋อสั่นไหว นางคิด ‘มีหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?’
หากนางรู้ว่าไป่หนิงปิงเคยเป็นผู้ชายมาก่อน นางจะตกใจยิ่งกว่านี้
เซี่ยเอ๋อคิด ‘เหตุใดรอบกายฟางหยวนถึงเต็มไปด้วยหญิงงามมากมาย? นอกจากนั้นพวกนางยังมาพร้อมกับความสามารถ! ตอนนี้ข้าไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดฟางหยวนถึงดูแคลนข้า!’