“เฮ้ ยูยะ พ่อนายไปไหนแล้วล่ะ?”
ผม โยชิสุมิ ยูยะ ที่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของตัวเอง ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มชาย ฉกรรจ์ ดูน่ากลัว ที่สวมแว่นกันแดด พร้อมกับรอยแผลเป็นที่แก้ม ซึ่งภายนอกคนเหล่านี้ดูทรงแล้วเป็นพวกที่อันตรายมากๆไม่ผิดแน่
“ผมไม่รู้”
ผมตอบไปแบบนั้น
“ผมพึ่งมาถึงบ้าน และก็เห็นเจ้านี่วางอยู่บนโต๊ะ”
ผมยื่นกระดาษโน๊ตที่วางอยู่บนโต๊ะไปให้กับคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้. และ หลังจากที่เขาอ่านโน๊ตแผ่นนั้นจบ เขาก็ถอดแว่นกันแดดออก และไหล่ของเขาก็สั่นเทิ้ม
โอเค งานนี้เขาของขึ้นแล้วแหงๆ
“ไอ้เวรนั่น……. มันหนีไปแล้ว ! แล้วทิ้งลูกชายไว้คนเดียวเนี่ยนะ สารเลวเอ้ย !”
ไม่มีทางที่จะรู้ได้หรอกนะว่าชีวิตน่ะมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง….
นั่นคือสิ่งที่พ่อของผมเคยพูดเอาไว้
เขามักจะไล่ตามเทรนใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อหวังว่าจะเสริมบารมีอะไรของเขานั่นแหละ แต่พอเขาได้อะไรที่มันราคาแพงหูฉีกมาทีไร สิ่งนั้นมันก็มักจะตกเทรนไปแล้ว จนสุดท้ายก็คือไม่เหลืออะไรเลย นอกจากของที่ซื้อมามันขายไม่ออกที่มาพร้อมกับหนี้สินกองเบ้อเร่อ
ครั้งล่าสุดเขาพยามที่จะซื้ออะไรมาอีกนะ? ช่างเถอะไม่อยากจะจำมันแล้ว…
ถึงจะล้มเหลวในฐานะคนทำมาค้าขายขนาดนี้ แต่แม่ของผมก็ยังหลงรักไอ้ผู้ชายที่ไร้ความสามารถ ในการทำธุรกิจใดๆเลย คนนี้อยู่
แม่ของผมนั้น หน้าเด็กโครตๆ เหมือนอายุไม่สามารถทำอะไรเธอได้จริงๆ ตอนเราเดินไปด้วยกัน คนยังเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ชายกับน้องสาวกันหลายต่อหลายครั้ง
เธอสวยมาก และ ทำอาหารเก่งด้วย ดังนั้นแล้วในฐานะที่เป็นลูกชายของเธอ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวแม่ของผมมากๆ และนั่นคือเหตุผลที่ผมถามเธอว่า ทำไมเธอถึงมาแต่งงาน กับไอ้คนไร้ประโยชน์พรรณนี้กันล่ะ? และตอนนั้นเอง เธอก็ตอบอย่างเหนียมอาย ประมาณว่า
“ อืม..ลูกไม่คิดบ้างหรอว่ามันเยี่ยมไปเลยนะ กับการที่ได้เห็นคนโง่ ที่พยายามอย่างหนัก ด้วยวิธีการโง่ๆอยู่อย่างนั้น แม่ของลูกรักผู้ชายแบบนี้แหละจ้า”
อืม…ความรักมันทำให้คนตาบอดจริงๆครับ
เมื่อใดก็ตามที่ผมเห็นเจอคนที่พยายามอย่างหนัก ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ก็เคารพในความพยามของพวกเขา แต่ในกรณีของพ่อผม มันสุดจะทนจริงๆ
ผมล่ะอยากจะเทศน์เขาให้หูชา ให้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่เขาทำผิดพลาดลงไป
แต่ไอ้คนที่ผม อยากจะเทศน์ใส่ที่สุดก็คงจะเป็นตัวผมเองนี่ละ
ที่ผมไม่ได้พูดอะไรสักอย่างกับพ่อของผมเลย กับการที่เขาเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆและล้มเหลวซ้ำซาก พร้อม สะสมหนี้ไปเรื่อยๆอยู่แบบนั้น
และกับแม่ของผมเองก็ด้วย ที่คอยสนับสนุน ผลักดันเขา จนผลลัพธ์มันถึงยุ่งเหยิงแบบที่ผมเป็นอยู่ ณ ตอนนี้
“ทากะซัง ครั้งนี้พ่อผมยืมเงินคุณไปเท่าไหร่ครับ?”
“หืม…ชั้นไม่โทษนายที่นายไม่รู้หรอกนะ นั่นสินะ ก็ราวๆ….30 ล้านเยนน่ะ ที่พ่อนายยืมไปแล้วสัญญาว่าจะจ่ายคืน และด้วยเหตุนี้เองนานวันเข้าหนี้มันถึงเพิ่มไปเรื่อยๆไงล่ะ”
ขณะที่พูดเช่นนั้น ทากะซัง และ คนอื่นๆก็จิบชาไปด้วย
โอ้..ผมลืมพูดไปเลย แต่ว่าผมน่ะไม่กลัวคนพวกนี้หรอกนะ
ผมรู้จักเขา โอมิจิ ทาคาชิ , อากะ ทากะ ซัง ตั้งแต่ผมเรียนประถมแล้ว เขาเป็นคนแกร่งๆที่ทำงานอย่างยากลำบาก แต่เขาก็ทำดีกับผมมาโดยตลอด เขาเป็นดั่งพี่ชายของผมคนนึงเลยล่ะ
“บ้าเอ้ย…โคทาโร่ ไอ้เวรนี่….สุดท้ายแกก็ทิ้งยูยะ ไว้ข้างหลังแล้วหนีไปต่างประเทศสินะ พร้อมปล่อยที่เหลือไว้ให้ทนายจัดการงั้นเรอะ? คิดว่าจะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว ไอ้เวร”
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็หาแม่ไม่เจอ และ ไฟในบ้านก็ปิดทั้งหมดเหมือนปกติ และพอผมเข้าไปในห้องด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงมีจดหมายอยู่บนโต๊ะ ที่เขียนว่า
“ยูยะ ! รู้ว่ามันกระทันหันไปหน่อย แต่แม่และพ่อน่ะ ตัดสินใจที่จะย้ายไปต่างประเทศนะ,
รู้สึกว่าว่า ญี่ปุ่นมันจะเล็กเกินไปสำหรับพวกเราจริงๆ! ครั้งนี้ พวกเราจะไปเอาแจ๊คพอตจาก คาสิโน ลาสเวกัส ดังนั้น ช่วยรอก่อนนะลูก ไม่ต้องกังวล พ่อมีเพื่อนเป็นทนายความให้ช่วยดูแลลูกได้ แค่นี้ล่ะ บาย..”
เอาตามตรง ผมสงสัยในคำพูดของพ่ออยู่ แต่คิดว่าที่พูดมานั้นคงเป็นเรื่องจริง เพราะ ตอนนี้ข้าวของพ่อและแม่นั้นหายไปจากบ้านเรียบร้อยแล้ว
แล้วตัวคนเดียวผมจะทำอะไรได้ล่ะ?
เมื่อผมกำลังคิดอยู่แบบนั้น ทากะซังและเพื่อนๆก็มาถึงที่บ้าน พร้อมกับเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
“ถึงแม้ว่านายจะเกิดมาจากคู่รักพรรณนี้ก็ตามทีเถอะนะ แต่ ยูยะ การที่นายเติบโตมาอย่างดี นี่มันปฏิหารชัดๆเลยไม่ใช่รึยังไงกัน? ไม่สิบางที ก็คงจะต้องขอบคุณชั้นสินะ?”
“ฮะๆ อย่างน้อยผมก็ได้เรียนรู้ ว่าพ่อแม่ของผมนี่ละแหละคือคนที่แย่ที่สุดในบรรดาคนรอบตัวของผม ว่าแต่ตอนนี้มีแผนจะทำอะไรต่อละครับ? ทากะซัง”
“นั่นสินะ มันก็อย่างที่คาดเอาไว้ คือ พ่อของนายไม่ได้จ่ายหนี้คืน และในสถานการณ์นี้ชั้นก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้แล้วล่ะนะ คงต้องพาตัวนายไปกับชั้นล่ะ”
ทากะ พูดออกมาพร้อมทำหน้าบูดบึ้ง และ เหล่าพี่น้องของเขาก็เบือนหน้าหนีไปตามๆกัน
งั้นหรอ….ตอนนี้ชั้นต้องแบกรับหนี้ แทนไอ้เจ้าพ่อที่ไร้ประโยชน์นั่น
ชีวิตของชั้นคงต้องจบลงตรงนี้แล้วงั้นหรอ?
“มั่นใจได้เลย ยูยะ ชั้นจะเกลี้ยกล่อมพ่อของนายให้นายมาอยู่กับชั้นเอง,ชั้นจะทำทุกๆอย่างเท่าที่ชั้นจะทำได้ ว่านายจะได้ใช้ชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ฉะนั้น อย่ากังวลไปเลยนะ”
“ใช่แล้วๆ ยูยะ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนาย คือการที่นายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้นี่แหละ เป็นแค่ นักเรียน ม.ปลายธรรมดาๆ”
“นายอย่าเป็นเหมือนเราล่ะ ยูยะ”
ทากะซัง กัดริมฝีปาก และ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น พร้อมกับ เหล่าพี่ชายคนอื่นๆก็ด้วย ที่กำหมัดแน่นและส่งเสียงเชียร์ผมด้วย หน้าของพวกเขาไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะมีใบหน้าที่น่ากลัวขนาดนั้น แต่พวกเขานั้นเป็นคนที่ดีมากๆเลยทีเดียว
“เอาล่ะ! ขอโทษทีที่ปุบปับแบบนี้นะ แต่นายจะต้องมากับชั้น ยูยะ.เอาไว้ชั้นจะทำ โดเกสะ*(ท่ากราบขอขมาแบบสุดตัว ชาวญี่ปุ่น) ให้นายอย่างงามเลย”
ผมล่ะชื่นชนกับท่าทางของเขาจริงๆ รอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของผม
ผมลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังครัว เพื่อล้างจาน และ ถ้วยที่พวกเขาพึ่งจะดื่มกันเสร็จเมื่อครู่
ปิ๊งป่อง !
ออด ดังเตือนว่ามีแขกมาเยือน
ใครกันนะเวลานี้?
ตอนนี้มันยังเร็วไปที่จะมาเก็บหนังสือพิมพ์นี่นา….
ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง !!!
หลังจากนั้นออดก็ดัง ถี่ๆรัวๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนเสียงก้องกังวาลจน ผม และ ทากะซัง เอามือมาปิดหู งานนี้คงไม่มีทางเลือกนอกจากไปเปิดรับล่ะนะ
“คร้าบๆ มาแล้วครับ ใครครับ?”
ผมเปิดประตู ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยจากเสียงออดที่แสนหนวกหู
และที่ยืนอยู่หน้าประตูนั่นก็คือ….
“สวัสดีจ้า ! โยชิสุมิคุง ชั้นมาเพื่อช่วยนายน่ะ”
เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม เธอมีผมสีดำ ยาวสลวย ที่ทำให้ผมนึกถึงท้องฟ้ายามค่ำคืน และ ดวงตาที่กลมสวย ราวกับกับไข่มุก มันไม่ผิดเลยถ้าหากจะเปรียบเทียบเธอกับ ดารา ที่เห็นบ่อยๆในนิตยสาร เธอดูเหมือนเทพธิดา ที่หลุดมาจากภาพวาดดังๆ
“ฮิโตสึบะ คาเอเดะ….”
ฮิโตสึบะ คาเอเดะ องค์หญิงประจำโรงเรียน ผู้ที่ได้รับรางวัล กรังด์ปรีซ์ ในการประกวด Miss School Girls และได้รับการโหวตว่าเป็น “ นักเรียน ม.ปลายที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น” ยืนอยู่ พร้อมกับ กำลังยิ้ม