ขณะที่ผมกำลังผ่อนคลายหลังจากที่ทำพาสต้าและล้างจานอะไรเสร็จจนหมดทุกอย่างแล้ว
จู่ๆฮิโตสึบะซังก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้แล้วก็ถามขึ้นมา
“จะว่าไปแล้วยูยะคุงยังเล่นเกมแฟนตาซีเกมนั้นอยู่รึเปล่าคะ? ยังเล่นตัวเนื้อเรื่องยังไม่จบใช่ไหมคะ?”
ก็เป็นความจริงที่ผมเพิ่งจะเล่นเนื้อเรื่องมาได้ครึ่งทางตามที่ฮิโตสึบะซังพูดมา
ก็เวลา 1 ถึง 2 ชั่วโมงก่อนนอนมันคือเวลาที่เพอร์เฟ็คที่สุดสำหรับผมในการที่จะเล่นเกมนี้ล่ะนะ
“แต่อยู่กับเธอที่นี่ผมเล่นเกมไม่ได้หรอก มันคงจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับเธอใช่ไหมล่ะ
ที่สุดท้ายแล้วมันก็มีแค่ผมคนเดียวที่สนุกไปกับเกมน่ะ”
คงจะดีถ้าเป็นเกมที่เราทั้งคู่สามารถสนุกไปด้วยกันได้ อาทิ เกมมัลติเพลย์เยอร์หรือพวกเกม co-op อะไรทำนองนั้นน่ะ
ยังไงซะเกมที่ว่ามันเป็นเกม RPG แบบที่เล่นได้คนเดียวถ้าเธอบังเอิญได้ดูตั้งแต่ตอนต้นด้วยล่ะก็พวกเราทั้งคู่ก็อาจจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องด้วยกันได้ แต่ผมดันเล่นจนผ่านมาครึ่งทางแล้วนี่สิทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมาสนุกกับผมขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่
“อืมมม ก็จริงนะคะแต่นายเองก็ไม่ต้องยอมอดทนไม่เล่นเพราะว่าชั้นก็ได้นะคะ ถ้าหากว่านายอยากจะเล่นก็แค่เล่าเนื้อเรื่องที่เล่นผ่านมาแล้วหรือจะอะไรสักอย่างให้ชั้นฟังก็ได้ค่ะ แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็จะสามารถสนุกไปพร้อมๆกันได้แล้วค่ะ”
ก็จัดว่าพูดได้มีเหตุมีผลและช่างเป็นข้อเสนอที่ดีเลยทีเดียว
สำหรับผมแล้วผมดีใจมากๆเลยที่ได้ยินแบบนั้นเพราะว่าเธอพยายามสุดๆเพื่อที่จะสนุกไปกับสิ่งที่ผมชอบไปด้วยกัน
ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเลยเวลาที่จะต้องแชร์งานอดิเรกกับใครสักคนหนึ่งเพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขแถมยังให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่นของกันและกันในขณะที่กำลังทำเรื่องเดียวกันไปพร้อมๆกัน
แต่มันก็มีอีกเหตุผลที่ผมอยากจะบอกปฏิเสธก็คือมันเป็นเรื่องที่ผิดไหมนะที่ผมพยายามจะซ่อนรสนิยมทางเพศจากผู้หญิงน่ะ?
ผมมีตัวละครเพื่อนสมัยเด็กที่มีหน้าอกดินระเบิดที่เป็นสมาชิกในปาร์ตี้อยู่และผมก็รักเธอสุดๆ
ต่อให้ศัตรูมันจะเก่งสักแค่ไหนผมก็จะพยายามที่จะเลือกเธอมาเล่นให้ได้
เธอก็เป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าตัวอวยล่ะนะ แต่ว่าไอ้ความจริงข้อนี้นี่ล่ะที่มันน่าอายเกินไปถ้าเกิดว่ามีผู้หญิงรู้เข้า นับประสาอะไรกับเพื่อนผู้ชายของผมเอง
ไม่สิ มันไม่ใช่แค่ความอับอายแค่นั้นแต่มันอาจจะถึงขั้นได้รับความเสียหายทางจิตใจจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนอีกแล้ว
แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดๆว่าจะหาข้อแก้ตัวยังไงดีเพราะการพูดอะไรทำนองนี้ออกไปมันจะเป็นการเปิดเผยเรื่องความสนใจทางเพศของผมไปซะเปล่าๆ
แล้วฮิโตสึบะซังก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่ผมอย่างจัง
“ยูยะคุง…..ชอบผู้หญิงที่…..หน้าอกใหญ่อย่างนางเอกที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กในเกมนั่นเหรอคะ?”
“หะ….หา? นี่เธอกำลังพูดถึงอะไรอยู่งั้นเหรอ?”
“ก็นะ เพราะชั้นคิดว่าตัวเองก็ไม่น้อยหน้าเธอเหมือนกันค่ะ! ก็เลยมั่นใจ!”
ฮิโตสึบะซังหันใบหน้ามาทางผม
ไอ้เจ้าผลไม้ทั้งสองลูกนั่นห้อยติดกันโดยที่ตรงเนินผิวเรียบเนียนนั้นสัมผัสกันดูอันตรายสุดๆ
อีกอย่างเธอยังใส่ชุดเดรสผ้าถักลายนูนที่ขนาดพอดีเข้ากับรูปร่างของเธอเป๊ะๆ
ซึ่งนั่นมันก็ช่วยเพิ่มความงดงามของเธอให้ดุดันยิ่งกว่าตอนปกติ
และการทำท่าทางที่เอนมาทางด้านหน้าพร้อมกันกับหน้าอกของเธอที่มาอยู่ตรงโต๊ะทำให้สายตาผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วเช่นกัน
“นี่……..ยูยะคุง……ชั้นน่ะ…….ไม่มีเสน่ห์เหรอคะ? ชั้นเคยถูกโหวตให้เป็นสาว ม.ปลาย ที่น่ารักที่สุดในญี่ปุ่นเลยนะคะ”
“ไม่ใช่….นั่น…..นั่นก็…”
“งั้นเหรอคะ……..นายไม่ได้คิดกับชั้นอย่างนั้นเลยสินะคะ……รู้สึกเสียใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาซะแล้วสิ…..”
ฮิโตสึบะซังก็ร้องไห้ออกมาโดยเธอเอามือข้างนึงไปปิดหน้าปิดตาทำท่าร้องไห้
แต่มันก็ชัดเจนว่าเธอแค่แสร้งทำเป็นร้องไห้เฉยๆโดยสรุปจากการที่เธอเหลือบมามองผมผ่านช่องว่างของนิ้วของเธอ
เอาเถอะ ไอ้เราเองก็โดนมาหลายทีแล้วทั้งเมื่อวานนี้และก็เมื่อเช้านี้ก็ด้วย
งั้นมาลองสวนกลับบ้างดีกว่า
“หา? ฮิโตสึบะซัง…..เธอบอกว่าเธอไม่มีเสน่ห์อย่างนั้นเหรอ? จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ เธออาจจะไม่รู้นะแต่จริงๆแล้วผมก็เป็นคนนึงที่ชื่นชมเธอนะ ผมเคยคิดว่าเธอคงจะเป็นแค่ผู้หญิงที่มีความอุตสาหะคนนึงแต่กลับกลายเป็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่คุยสนุกแถมนิสัยเองก็น่ารักมากๆด้วยและไอ้เจ้าวิธีการที่เธอเข้ามายั่วผมทุกครั้งที่มีโอกาสแล้วหน้าของเธอก็ดันเปลี่ยนเป็นสีแดงเองซะเองก็น่ารักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนที่ผู้หญิงอย่างเธอบอกกับผมว่าจะทำอะไรกับเธอก็ได้ตามใจชอบน่ะ ถ้าเป็นตอนปกติผมเองก็คงจะไม่อาจทนต่อแรงกระตุ้นของตัวเองได้หรอกนะครับ!”
ผมเอนตัวไปที่ด้านหน้าพร้อมกับตบโต๊ะอย่างแรง
ไหล่ของฮิโตสึบะซังก็สั่นเทิ้มด้วยความกลัวแต่ในขณะที่ผมมองเห็นถึงความรู้สึกกลัวในแววตาของเธอ
ภายในแววตาคู่นั้นมันแฝงความคาดหวังปนอยู่ด้วยรึเปล่านะ?
หรือผมแค่คิดไปเองคนเดียวกัน?
“เห็นไหมล่ะ ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นหมาป่ากันทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดว่าเธอหยอกแรงเกินไปผมจะ………จู่โจมเธอจริงๆเข้าสักวันนะ รู้ไหม? เธอต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอ?”
ทั้งเสียงและมือของผมก็สั่นเมื่อพูดอย่างนั้นออกไป
ไอ้การแสดงท่าทางแข็งกร้าวแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยทำมาก่อนเลยแต่ผมก็ได้แต่หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้ฮิโตสึบะซังรู้สึกดีขึ้นสักหน่อยนึงก็ยังดี
อันที่จริงเธอดูเย้ายวนเกินไปต่างหากล่ะ
เพราะงั้นช่วยอย่าพูดอะไรโดยไม่ยั้งคิดเพื่อที่จะได้ทำให้ผมประหม่าทีเถอะ
แต่นี่มันก็เป็นการเดินเกมที่แย่มากเพราะมันดันย้อนกลับใส่ตัวผมเอง
เพราะว่าฮิโตสึบะซังก็เข้ามาจับใบหน้าของผมด้วยมือของเธออย่างอ่อนโยนแล้วก็เอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ
อะไรเนี่ย? เดี๋ยว!? เธอจะใกล้เกินไปแล้วนะ!! ปลายจมูกของเธอมันเข้ามาโดนผมแล้วนะ!!
ทั้งความสวยงาม,ความนุ่มนวลและริมฝีปากที่สีพีชก็มาอยู่ตรงเบื้องหน้าของผม!
“ชั้นน่ะนะ…..ยูยะคุง……….ชั้นคิดจริงๆว่าถ้าเป็นนายล่ะก็….ได้นะ……..”
“ฮิ-ฮิโตสึบะซัง…….แต่นั่นมัน….”
“ชั้นรู้แล้ว……..ชั้นเข้าใจอยู่แล้วล่ะ แต่ยังไง……….ชั้นจะไม่ยอมถอยกลับแน่ๆ พอถึงตอนที่นายตกหลุมรักชั้นเข้าจริงๆจังๆแล้วน่ะ”
ฮิโตสึบะซังแลบลิ้นที่ดูเฉียบคมเลียปากของตัวเองราวกับนักล่า
ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังสะนั่น
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอคือเพื่อนร่วมห้องของผมเพราะว่าตอนนี้เธอนั้นมีเสน่ห์มากล้นจนผมถึงกับต้องกลืนน้ำลายเพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องยอมจำนนไปทั้งแบบนี้
“เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลย ทำไมพวกเราไม่มาลองลดระยะห่างระหว่างพวกเราให้สั้นลงดูล่ะคะ? แน่นอนว่าชั้นไม่ได้หมายถึงระยะห่างของตัวพวกเราในตอนนี้ แต่ชั้นหมายถึงระยะห่างระหว่างหัวใจของพวกเราค่ะ”
ถึงจุดนี้ฮิโตสึบะก็ยอมปล่อยผมไปสักทีแล้วผมก็หลุดพูดอะไรโง่ๆออกไปว่า ‘อ๊ะ’
ก็รู้สึกเสียใจอยู่หน่อยๆล่ะนะ แล้วฮิโตสึบะซังก็พูดต่อ
“นายไม่คิดบ้างเหรอคะว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ชั้นเป็นคนเรียกนายด้วยชื่อเล่นว่า ‘ยูยะคุง’ อยู่ฝ่ายเดียวเลยน่ะ? ชั้นเองก็อยากให้นายเรียกชั้นว่า ‘คาเอเดะ’ แทน ‘ฮิโตสึบะซัง’ ค่ะ………ไม่ได้เหรอคะ?……”
การแสดงออกที่มีเสน่ห์มากล้นของเธอก็เปลี่ยนไป
ตอนนี้เธอจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่ซึมๆและเปียกชื้นราวกับหมาชิวาว่าที่อยู่ตามโฆษณาและถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวแต่ตอนนี้หน้าผากของผมกลับเริ่มมีเหงื่อไหล
ผมกลืนน้ำลายลงไปอีกหนึ่งอึกและช่วงเวลาแห่งความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่น
แต่ไอ้เกมจ้องตาที่จู่ๆมันก็เริ่มขึ้นอย่างกระทันหัน ไม่นานมันก็จบลง
ใช่ เพราะมันไม่มีทางที่ผมจะชนะเกมนี้ได้เลย………..
“เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้ว ผมแพ้แล้วครับคาเอเดะ”
มันน่าอายจริงๆนะเนี่ย
ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองมันคงจะแดงจนถึงขั้นจะพ่นลมหายใจออกมาเป็นไฟสีแดงเลย
แต่ใบหน้าของคาเอเดะเองก็แสดงความน่าประทับใจไม่แพ้กันเพราะแก้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับมะเขือเทศที่ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวพอดี
“ดีใจจังเลยค่ะ……..ขอบคุณมากเลยนะคะยูยะคุง!”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอพร้อมกับแก้มแดงๆราวกับพระอาทิตย์ตกดินนั้น
ดูเหมือนกับนางฟ้ามาโปรดและทั้งหมดที่ผมพอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือก้มหน้าก้มตาเขินต่อไป…..