ผมจับมือที่สั่นเทาของเธอและเชิญเธอเข้าไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมกับให้เธอนั่งบนเก้าอี้
หลังจากเธอได้ดื่มชาที่เสิร์ฟและพักสักหน่อยแล้ว ตัวเธอก็สงบสติลงได้ ในขณะนั้นเองผมก็รอเธอเพื่อที่จะพูดคุยกัน
“เอาล่ะ! ยูยะคุง ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชั้นอธิบายสถานการณ์ที่นายกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เลยก็แล้วกันนะ เอาตรงๆแบบย่อๆสรุปในไม่กี่คำเลยก็แล้วกัน ‘ยูยะคุง นายน่ะได้กลายเป็นทรัพย์สินของชั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แค่นี้ล่ะ’ ”
“อ่า ผมเข้าใจล่ะ นี่เธอไม่ได้อธิบายอะไรเลยนี่หว่า ถูกมะ?”
“ก็ชั้นคิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดให้อ้อมค้อมเลยหนิ ผิดด้วยหรอ? ก็พูดสั้นๆแถมเรียบง่ายดีด้วยนี่นา”
“แหงล่ะ ! แล้วชั้นไปเป็นทรัพย์สินของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮะ? มันไม่เหมือนตอนที่เธอเพิ่งซื้อสัตว์เลี้ยงนะเฮ้ย! ขอล่ะ ช่วยอธิบายให้ฟังในแบบที่ผมเข้าใจได้ทีเถอะครับ”
“สัตว์เลี้ยงหรอ…. นั่นสินะ ยูยะคุง นับแต่วันนี้นายเป็นสัตว์เลี้ยงของชั้นแล้วนะ อื้มๆนั่นแหละดี ฟังดูเยี่ยมไปเลย”
นี่หล่อนไม่ได้เต็มใจที่จะอธิบายอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้เลย แถมผมพูดอะไรไปก็ไม่ฟังเลยสักนิด ตอนนี้เธออยู่ในท่ากอดอก พร้อมกับแก้มอันแดงก่ำของเธอ
งานนี้เธอหลงอยู่ในจินตนาการของตัวเองเต็มที่
ผมจึงตั้งใจซดชาเสียงดังๆ เพื่อที่จะกระตุ้นความสนใจของเธอ
“เดี๋ยวเถอะ! พจจิ(น่าจะจินตนาการว่าพระเอกเป็นหมาอยู่) อย่าดื่มแบบนั้นสิ … อะแฮ่มๆ โทษทีจ้ะ ยูยะคุง ชั้นเผลอจินตนาการเรื่องต่างๆนาๆมากไปหน่อย แล้วนี่ชั้นพูดค้างไว้ถึงตรงไหนแล้วนะ?”
“ผมคิดว่าน่าจะถึงตรงที่ว่า ‘ผมได้กลายเป็นทรัพย์สินของฮิโตสึบะซัง’ ล่ะนะ”
“อ้อ นั่นสินะ ชั้นแค่จะคุยเรื่องที่ว่าทำไมนายถึงได้กลายเป็นทรัพย์สินของชั้นสินะคะ นั่นก็เพราะว่า คุณพ่อของยูยะคุงน่ะ มาร้องห่มร้องไห้ขอให้คุณแม่ของชั้นช่วยน่ะสิคะ”
แล้วทำไมไอ้เจ้าพ่อบ้านั่นถึงเจาะจงไปขอร้องให้คุณแม่ของฮิโตสึบะซังช่วยเหลือโดยเฉพาะเลยล่ะ?
ฮิโตสึบะซัง สรุปแบบคร่าวๆให้ผมฟังว่า ไอ้เจ้าพ่อเฮงซวยของครอบครัวเรานั้น กับ เทพีแห่งสงครามนั่นก็คือคุณแม่ของฮิโตสึบะซังน่ะ เคยเรียนโรงเรียนประถม , ม.ต้น และ ม.ปลาย อยู่ที่เดียวกัน หล่อนได้ยินเกี่ยวกับความล้มเหลวของไอ้พ่อเฮงซวยของผม เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว ที่จู่ๆเธอก็ได้รับสายจากพ่อเฮงซวยของผมที่ต่อสายไปหาเธอ ด้วยข้อความสั้นๆว่า “ขอร้องล่ะ ช่วยชั้นที!!”
ทีแรกคุณแม่ก็ปฏิเสธเขาไป เพราะเดิมทีมันก็ไม่ได้สำคัญอยู่แล้ว ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจะเน่าเฟะสักแค่ไหนเธอก็ไม่ได้แคร์อะไร มันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความโง่เขลาของตัวเขาเองล้วนๆ และ เธอก็ยังพูดถึงคุณแม่ของยูยะคุงด้วยซึ่งตัวคุณแม่ของยูยะคุงเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ที่คอยเอาแต่เชียร์เขาอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่คิดจะหยุดความผิดพลาดที่หายนะของเขา
ไอ้เจ้าพ่อเฮงซวยนั่นมันบ้าไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจู่ๆจะไปขอความช่วยเหลือกับเพื่อนสมัยเด็กที่ตอนนี้ก็มีครอบครัวลูกเต้าที่ต้องดูแลอยู่แล้ว
นี่ถ้ากลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่ล่ะก็ ขอซัดหน้าจนกว่าจะหนำใจทีเถอะ !!
“ยังไงซะ คุณพ่อของยูยะคุงน่ะนะ ร้องห่มร้องไห้แล้วก็พูดออกมาว่า ‘ได้โปรดช่วยเหลือลูกของชั้นด้วยเถอะ ยูยะไม่ได้ผิดอะไรเลย ยูยะ หมอนั่นน่ะเป็นเด็กที่มีศักยภาพ ซึ่งมันต่างจากชั้น ชั้นไม่อยากทำลายอนาคตคตของเขา’ ”
“…………………………………………”
“ก็นะ ถึงแม้ว่าคุณแม่ของชั้นจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพยักหน้าคล้อยตามไป แต่สำหรับเธอแล้วนี่มันเป็น การราดน้ำมันเข้ากองเพลิงชัดๆเลยค่ะ”
ผมคิดว่ามันก็จริงแหละ ในมุมมองของคุณแม่ของฮิโตสึบะซัง ผมมันก็เป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ มันเป็นข้ออ้างที่โครตตื้นเขินเลยในการใช้ลูกชายของตัวเองมาเป็นข้ออ้างในการขอความช่วยเหลือ ซึ่งเหตุผลดังกล่าวมันช่างตื้นพอๆกับแอ่งน้ำเล็กๆ ไอ้เจ้าพ่อโง่เอ้ยย หัดใช้หัวให้มากกว่านี้ทีเถ๊อะ !!
“ดังนั้น ! ชั้นมั่นใจเลยว่ายูยะคุงผู้แสนชาญฉลาดจะต้องสงสัยแน่ๆว่าทำไมคุณแม่ของชั้นถึงตัดสินใจยอมช่วยเขาสินะคะ? แน่นอนว่าเหตุผลนั่นก็คือเพราะ ‘ชั้นเห็นแก่ตัวเองค่ะ’ “
ฮิโตสึบะซังผายมือออกจากหน้าอกและทำหน้าตานิ่งๆ ถึงแม้ว่ามันจะซ่อนอยู่ภายในเสื้อสเวตเตอร์ถักก็ตาม แต่คุณก็ยังสามารถเห็นเนินเขาคู่นั้นของเธอที่ส่ายไปมาพริ้วไหวไปตามแรงโมเมนตัมได้ มันยากจริงๆที่จะไม่ให้มองมัน ผมเลยมองไปทางอื่นขณะนึง
“เอ่อ…..แล้วที่ว่าฮิโตสึบะซังเห็นแก่ตัวเนี่ยมันยังไงกันล่ะ? แล้วมันนำไปสู่การที่ช่วยพ่อของผมได้ยังไง? แม่ของฮิโตสึบะซังคงจะไม่ได้เที่ยวไปใช้หนี้ให้ใครเพียงเพราะฮิโตสึบะซังเห็นแก่ตัวหรอกใช่ไหมล่ะ?”
“ตัวชั้นในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นแก่ตัวมาก่อนเลยค่ะ และ ทำตัวเป็นเด็กที่เชื่อฟังมาตลอดเลย คุณพ่อคุณแม่ รวมถึงคุณปู่คุณย่า ก็ดูดี๊ด๊ากันใหญ่เลยที่ได้เห็นว่าลูกสาวคนเดียวหัวแก้วหัวแหวน คนนี้เห็นแก่ตัวเป็นครั้งแรกน่ะค่ะ”
นี่หล่อนกำลังยกยอตัวเองว่าเป็นผู้หญิงที่ดีและเสียสละงั้นเรอะ?
ไม่ๆนั่น มันไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่สุดที่กวนใจผมอยู่หรอก
นี่เธอพึ่งบอกว่า แม่ของเธอร้องไห้อย่างปลื้มปิติ กับ ความเห็นแก่ตัวของเธอเนี่ยนะ?
ผมละนึกภาพคนที่สง่างามราวกับเทพีแห่งสงครมคนนั้นร้องไห้ด้วยความดีใจไม่ออกเลยจริงๆ
“มีเหตุผลอยู่สองประการที่ชั้นเห็นแก่ตัวค่ะ ประการแรก คือ ชั้นอยากให้คุณแม่ช่วยเหลือนาย ยูยะคุง มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วเพราะนายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และชั้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรพ่อแม่ของยูยะคุงด้วยค่ะ แต่ตัวชั้นเองก็ไม่สามารถมองข้ามความจริงที่ว่า นายต้องทนทุกข์ทรมาณจากสิ่งนั้นด้วยค่ะ”
ผมไม่แน่ใจเลยว่าทำไมฮิโตสึบะซังถึงได้มาใส่ใจผม แต่ในขณะที่กำลังนั่งหาเหตุผลอยู่ ผมว่ามันก็ดีนะที่ได้รู้ว่ามีคนคอยห่วงใยอยู่เสมอน่ะ
“และเหตุผลประการที่สองนั้นก็มาจากความเห็นแก่ตัวของชั้นเอง เพราะในทุกๆช่วงอายุของชั้น ตัวชั้นไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรบนพื้นฐานของความเห็นแก่ตัวของตัวเองเลยสักครั้ง เว้นแต่ครั้งนี้ ที่ชั้นต้องการให้นายมาเป็นทรัพย์สินของชั้นแล้วหลังจากนี้ชั้นก็อยากจะอยู่กับนาย”
“โอเคครับผม ไอ้ตรงส่วนนี้แหละที่มันเป็นไปไม่ได้ ! นั่นมันไม่ใช่เห็นแก่ตัวแล้วนะ เธอเล่นข้ามส่วนของการสารภาพรัก ขอแต่งงาน ไหงจะส่วนอื่นๆอีกทั้งหมด เธอบอกพ่อแม่ว่าเธออยากจะมาอาศัยอยู่กับผมเนี่ยนะ ! ทำไมเธอถึงทำแบบนั้นกันล่ะ !?”
“เพราะว่า……..ชั้นอยากจะอยู่กับนาย ยูยะคุง….”
นี่มันขี้โกงนี่ เล่นผิดกติกาแล้วนะ ! หากฮิโตสึบะคาเอเดะ ผู้สง่างามราวกับเทพธิดาคนนั้นกำลัง เอานิ้วที่อยู่ไม่สุขของเธอไปลูบไล้รอบๆริมฝีปากแบบนั้นพร้อมกับท่าทางเขินอาย ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ต้องตกหลุมรักเธอในทันที !!
ความน่ารักของเธอมีอนุภาพการทำลายล้างมากพอที่จะทำให้สงครามยุติลงได้เลยทีเดียว
“แล้วหลังจากนั้นทุกๆคนก็ตื่นเต้นกับความเห็นแก่ตัวของชั้นและรักแรกของชั้นกันหมด ส่วนคุณพ่อของชั้นก็เตรียมเช็คเงินสด ส่วนคุณแม่ก็ติดต่อไปหาคุณพ่อของยูยะคุงน่ะ ท้ายที่สุดทุกๆอย่างก็ลงเอยแบบนี้ล่ะจ้า….”
ในขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าควรจะพูดถึงคำพูดของเธอที่ว่า “รักแรกของชั้น” ดีรึเปล่า?
ฮิโตสึบะซังก็ยื่นกระดาษแผ่นนึงมา มันเป็นกระดาษสัญญา ซึ่งในกระดาษแผ่นนั้นมีลายเซ็นอยู่ด้านล่างซึ่งเป็นชื่อพ่อเฮงซวยของผมพร้อมกับตราประทับเสร็จสรรพ เนื้อหาข้างในมันก็คือ….
“[หนึ่ง] กระผมขอให้สิทธิ์ที่จะให้ ฮิโตสึบะ คาเอเดะ อาศัยอยู่กับ โยชิสุมิ ยูยะ
[สอง ] เมื่อโยชิสุมิ ยูยะ ได้อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ เขาจะทำการจดทะเบียนเพื่อที่จะเข้าไปเป็นลูกเขยของบ้านฮิโตสึบะ และ สุดท้ายก็คือ หลังจากที่ได้อยู่ร่วมกันแล้ว การติดต่อใดๆจากพ่อแม่ของ โยชิสุมิ ยูยะ ถือเป็นข้อห้ามไปตลอดชีวิต ……………….. นะ- นะ- นี่มัน เชี่ยอะไรวะเนี่ยยย !!!!!”
แน่นอนว่าผมกรีดร้องสุดชีวิตหลังจากที่ได้อ่านเนื้อหาภายในหนังสือสัญญาฉบับนี้………