ฆาตกรหมายเลข 01 หนูกับแมว
01
หนูกับแมว
เช้าตรู่ สำนักงานตำรวจในเมือง S ได้เกิดความแตกตื่นขึ้น ผู้คนต่างจับกลุ่มซุบซิบพูดคุยกันถึงหน่วย S.C.I. ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่
ในขณะที่หวังเฉาและจางหลงเดินเข้าไปในอาคารก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติไป ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทั้งสองมาพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตาราวกับหมีแพนด้าเพราะเพิ่งสะสางคดีใหญ่เสร็จไปเมื่อคืนวาน อดหลับอดนอนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเดินมาถึงยังหน้าลิฟต์ก็เห็นเศษกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งแปะอยู่บนผนัง จางหลงยื่นมือเข้าไปดึงมันออกมาพร้อมกับด่าทอ “ใครนะช่างกล้าเอาใบปลิวมาติดในสถานีตำรวจ”
หวังเฉาที่อยู่ข้าง ๆ โน้มตัวเข้าไปดูอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เหมือนโฆษณา เลย…คำสั่งอธิบดีเหรอ”
พอเดินเข้าไปในลิฟต์ ทั้งสองก็เอากระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาศึกษาดู อย่างละเอียด
สิบวินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงตะโกนของทั้งสองดังออกมาจากในลิฟต์ ทำเอาผู้คนที่กำลังรอลิฟต์อยู่ด้านนอกตกใจจนต้องถอยกรูดออกมา
‘ติ๊ง’ ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 7
เห็นจางหลงกับหวังเฉากระโจนออกมาจากด้านในราวกับเสือและหมาป่าพลางร้องตะโกนว่า “แย่แล้วโว้ย!” แล้ววิ่งตรงไปยังห้องทำงานของฝ่ายตำรวจอาชญากรรม ดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่รอบ ๆ ให้หันมามองทีละคน
ประตูห้องทำงานเปิดออกเสียงดังสนั่นจากการถีบของทั้งสอง สร้างความตกใจให้กับบรรดาตำรวจด้านในจนตะลีตะลานหาที่หลบด้านหลังโต๊ะทำงาน
แต่บุคคลทั้งสองที่เข้ามาไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบมองคนอื่น พุ่งตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยที่อยู่ด้านในทันที
ประตูห้องทำงานเปิดออกก่อนที่จะถูกพุ่งชนเพียงเสี้ยววินาทีทั้งสองหยุดตัวเองไม่ทัน ถลาเข้าไปด้านใน แล้วร่วงลงไปกองกับพื้น
‘โครม’ …
ได้ยินเสียงคนตะโกนผ่านหน้าต่างดังขึ้นมาจากชั้นล่าง “หน่วย ตำรวจอาชญากรรมของพวกคุณจะไม่หยุดทำงานกันสักวันเลยรึไง อีกหน่อยถ้าวันไหนเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาจริง ๆ คนทั้งอาคารก็คงไม่รู้แล้วว่าต้องวิ่งหนี!”
จางหลงกับหวังเฉาตะกายขึ้นมาจากพื้น เห็นไป๋อวี้ถังถือถ้วยกาแฟ อยู่ในมือ ยืนพิงโต๊ะทำงานมองพวกเขาทั้งสองคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง
“หัวหน้า จริงหรือเปล่าครับ?!” จางหลงชูภาพที่อยู่ในมือแล้วถาม
“นายคิดว่ายังไงล่ะ” ไป๋อวี้ถังจิบกาแฟไปอึกหนึ่ง ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“งั้น…ก็แสดงว่าเป็นจริงใช่ไหม” หวังเฉาขอคำยืนยันอีกครั้งอย่าง ระมัดระวัง
ไป๋อวี้ถังพยักหน้าแล้วจิบกาแฟต่อไป เงียบไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วทั้งห้องทำงานฝ่ายตำรวจอาชญากรรม
“หัวหน้า คุณจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะครับ”
“หัวหน้า คุณจะไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
“หวังเฉา จางหลง พวกนายจะไปไหนไม่ได้นะ”
“ถ้าพวกนายไป แล้วพวกพี่น้องที่เหลืออยู่จะทำยังไงล่ะ…”
เสียงนั้นดึงความสนใจของผู้คนจากแผนกอื่น ๆ ให้พากันเข้ามาสอดรู้สอดเห็น
หน่วยปราบปรามสื่อลามก : “เกิดอะไรขึ้นกับหน่วยสืบสวน? ทีม ของหัวหน้าไป๋เสียชีวิตในหน้าที่เหรอ”
แผนกเศรษฐกิจ : “เป็นไปไม่ได้? เมื่อเช้าฉันยังเห็นอยู่เลย ยังดู คึกคักมีชีวิตชีวาอยู่เลย”
แผนกยาเสพติด : “พอได้แล้ว ทีมหัวหน้าไป๋น อย่างกับมัจจุราชะ จะกล้ารับไปอย่างนั้นแหละ?”
ไป๋อวี้ถังจิบกาแฟอึกสุดท้าย แล้วบอกกับจางหลงและหวังเฉา “เก็บข้าวของ ตอนบ่ายย้ายไปที่ชั้น 13”
เวลาเที่ยงห้าสิบนาที ท่ามกลางเสียงร้องระงมของเจ้าหน้าที่หน่วยตำรวจอาชญากรรมและเสียงโห่ร้องยินดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ ในชั้น 7 ไป๋อวี้ถังพาจางหลงกับหวังเฉาเดินเข้าไปในลิฟต์ กดปุ่มไปที่ชั้น 13
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกก็มองเห็นสำนักงานใหม่เอี่ยมอ่องอยู่ตรงประตูกระจกบานใหญ่มีตัวอักษร S.C.I. พิมพ์อยู่ด้านบน ให้ความรู้สึกราวกับ FBI พอเดินออกมาจากลิฟต์ก็ได้ยินเสียงประตูลิฟต์อีกตัวหนึ่งที่อยู ๆ เปิดออก ทุกคนหันกลับไป เห็นใครบางคนสอดมือข้างหนึ่งอยู่ในกระเป๋า กางเกงชุดสูทของเขา มืออีกข้างหนึ่งถือแฟ้ม เอกสารดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบด้วยย่างก้าวอันสง่างาม
จางหลงกับหวังเฉารู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที มองไปทางไป๋อวี้ถังอย่าง ระมัดระวัง แน่นอน…หัวหน้าของพวกเขามีสีหน้าที่แข็งทื่อ
กงซุนเดินเข้ามาจากระยะไกล เห็นจั่นเจากับไป๋อวี้ถังยืนมองอยู่หน้าประตูลิฟต์จึงแอบหัวเราะกับตัวเอง “เอาอีกแล้ว”
“เสียวจั่น เสี่ยวไป๋…ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ” หวังเฉากับจางหลงต่างกลืนน้ำลาย “มาอีกคนแล้ว!”
ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่ธรรมดา ได้รับฉายาสามอัจฉริยะแห่งวงการตำรวจ คือเพชรของสถานีตำรวจจากสามเขตใหญ่ในเมือง S มาว่ากันที่ไป๋อวี้ถังก่อน : คนสนิทต่างเรียกเขาว่าไป๋ห้า ไม่ใช่เพราะว่าเขามีลำดับที่ห้าในบ้าน แต่เพราะว่าเขาเป็นตำรวจรุ่นที่ห้าของสกุลไป๋
สกุลไป๋เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการผลิตนักสืบขั้นเทพ คุณปู่ คุณพ่อคุณลุง และคุณอาของไป๋อวี้ถังล้วนเป็นตำรวจอาชญากรรมที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันนี้ทั้งหมดล้วนทำงานอยู่ในวงการตำรวจและทหาร ส่วนไป๋อวี้ถังนั้น ได้รวบรวมเอาพันธุกรรมที่ดีที่สุดจากรุ่นพ่อเอาไว้ในตัวเขาทั้งหมด หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารได้เข้าร่วมกองทัพอากาศเป็นอันดับแรก และเคยได้รับการฝึกอบรมพิเศษ หลังจากลาออกก็กลับมารับตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยตำรวจอาชญากรรมที่เมือง S หลายปีต่อมา คดีใหญ่ ๆ ก็ถูก สะสางไปไม่น้อยเลย
ไป๋อวี้ถังมีความกล้าหาญมาก ทั้งยังมีทักษะช่ำชอง แต่มีนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนคนอื่น ดังนั้นทีมตำรวจอาชญากรรมทุกคนที่อยู่ ภายใต้การบัญชาการของเขาล้วนเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ทั่วทั้งกรมตำรวจ ไม่มีใครกล้าหยอกล้อด้วย ไม่ว่าใครที่เดินผ่านประตูแผนกตำรวจอาชญากรรมล้วนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เมื่อเอ่ยถึงไป๋อวี้ถัง ก็ไม่อาจไม่กล่าวถึงอัจฉริยะอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือ จั่นเจา
ซึ่งก็คือหนุ่มน้อยผู้สุภาพเรียบร้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ สาเหตุที่ทั้งสามคนนี้มีชื่อเสียง นอกจากเพราะพวกเขามีความสามารถพิเศษ เหนือคนทั่วไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญมาก นั่นก็คือ รูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นของทั้งสามมันทำให้บรรดาตำรวจคนอื่น ๆ เกลียดจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โดยเฉพาะจั่นเจาคนนี้ อวัยวะทั้งห้าอันหล่อเหลาละมุนละไมได้สัดส่วนกับร่างกายสูงโปร่ง บวกกับชุดสูทสีน้ำเงินครามขนาดพอดีตัว ถือแฟ้มเอกสารในมือ ทำเอาสาว ๆ ริมถนนตั้งแต่วัย 80 ลงไปจนถึง 8 ขวบต่างพากันน้ำลายหกกันเป็นแถว ยิ่งถ้าเขาหันมายิ้มให้คุณอย่างอ่อนโยนละก็ ต้องขอยืมคำพูดของคุณแม่ไป๋มาใช้ได้เลยว่า ตายเรียบในพริบตาเดียว
จั่นเจาคือดอกเตอร์ด้านอาชญาวิทยาที่มีชื่อเสียงในนานาประเทศ อายุยังน้อย แต่มีอิทธิพลในวงการการศึกษาด้านจิตวิทยาอย่างมาก เขามีไอคิวสูง ในช่วงที่ยังศึกษาอยู่เรียกว่าได้ข้ามชั้นขึ้นมาตลอด บุคคลคนนี้ถนัดบุ๋นไม่ถนัดบู๊ มักจะให้ข้อมูลพิเศษกับทางตำรวจอยู่เสมอเพื่อช่วยในการสะสางคดี
ความสัมพันธ์ของจั่นเจากับไป๋อวี้ถังค่อนข้างลึกซึ้ง จากคำพูดของคุณแม่จั่น ทั้งสองไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่แล้ว! ทำไมถึงได้พูดถึงคุณแม่ไป๋กับคุณแม่จั่นอยู่ตลอดเวลาน่ะหรือ นั่นก็เพราะว่าบ้านของทั้งสองครอบครัวนี้อยู่ตรงข้ามกัน คุณแม่ทั้งสองเป็นกัน พี่น้องที่สนิทกันมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม ทารกทั้งสองเกิดพร้อมกันพอดี เพียงแต่จั่นเจาเกิดก่อนไป๋อวี้ถังหนึ่งชั่วโมง และเนื่องด้วยความต่างของหนึ่งชั่วโมงนี้ ทำใหไป๋อวี้ถังถูกบังคับให้เรียกจั่นเจาว่า “พี่เสียวจั่น” มาถึง 8 ปี…เกลียดที่สุด
ทั้งสองถือว่าเป็นเพื่อนคู่หูคู่ซี้กันมาตั้งแต่เด็กสมดั่งคำเล่าลือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นศัตรูกันแบบนี้น่ะหรือ ต้องเริ่มว่ากันตั้งแต่สมัยอนุบาล ทั้งสองต่างก็แข่งขันกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนกินข้าวก็ต้องแย่งอาหารของอีกฝ่าย ตอนนอนก็ต้องแย่งหมอนของอีกฝ่าย ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา แข่งกันสอบ ได้ที่หนึ่ง เรียนหนังสือก็แข่งกันว่าใครจะข้ามชั้นได้ไวกว่ากัน เสี่ยวไป๋ ชนะเลิศศิลปะการต่อ เสียวจั่นก็ได้ทุนการศึกษาเรียนดี ทั้งสองแข่งขันกันมาแบบนี้จนกระทั่งคนหนึ่งเข้ากองทัพ อีกคนก็ไปต่างประเทศ แต่สุดท้ายทั้งสองก็วนกลับมาเจอกันในกรมตำรวจ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าโชคชะตา นำพาศัตรูให้มาพบกัน ยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียด ยิ่งได้กลับมาเจอ
ในสายตาของไป๋อวี้ถัง จั่นเจาไม่ได้สุภาพเรียบร้อยอย่างที่ใคร ๆ พูด เขาเป็นแค่แมวเจ้าเล่ห์ไร้สัจจะตัวหนึ่ง!
ในสายตาของจั่นเจา ไป๋อวี้ถังนั้นช่างห่างไกลจากภาพลักษณ์ภายนอกอันสง่างามมากความสามารถ เขาก็เป็นแค่หนูขาวน่ารังเกียจ ตัวหนึ่ง!
บุคคลหนึ่งในชุดกาวน์สีขาว สุภาพเรียบร้อยและสง่างาม สวมแว่นตาไร้กรอบ หน้าตาดูเป็นหัวกะทิ เขาคือกงซุนเช่อ
กงซุนเป็นแพทย์นิติเวชที่มีตำนานและสีสัน เขาเป็นนักมานุษยวิทยาที่มีชื่อ เสียงมื่อครั้งที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาเคยสอนวิทยาลัย จั่นเจากับไป๋อวี้ถังมาก่อน แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งคู่ คนคนนี้ที่พกมีดผ่าตัดไปทั่วทุกหนแห่ง คือโฉมหน้าหนึ่งของฆาตกรโรคจิต
ทั้งสามคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหน่วย S.C.I.
จนกระทั่งอธิบดีเปาเจิ่งทนไม่ไหว ตะโกนขึ้นมาว่า “มัวยืนทำอะไรกันอยู่ ข้างนอกน่ะ เข้ามาประชุมได้แล้ว!”