ฆาตกรหมายเลข 16 วิชาการ
สำนักพิมพ์โรส
16
วิชาการ
ข้อสรุปที่จั่นเจากับไป๋อวี้ถังได้มาเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น พวกเขายังต้องการหลักฐานที่แน่นอนเพื่อทำการพิสูจน์ว่าศาสตราจารย์สวี่กับดอกเตอร์จางนั้นคือฆาตกร
นอกเหนือจากนี้ ทั้งศาสตราจารย์สวี่และดอกเตอร์จางต่างก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในวงวิชาการ แต่ทําไมถึงต้องลงทุนฆาตกรรมนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งด้วยนะ? แล้วเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับจั่นเจา จุดนี้คือสิ่งที่ไป๋อวี้ถังเป็นห่วงมากที่สุด
ทั้งสองตัดสินใจที่จะรอจังหวะ พักดูเชิงสถานการณ์ไปก่อน ไป๋อวี้ถังได้สั่งให้จางหลงสืบค้นประวัติของศาสตราจารย์สวี่และดอกเตอร์จางอย่างละเอียด
ทางด้านทีมเทคนิคได้ทำการติดตั้งกล้องถ่ายวิดีโอขนาดเล็กบริเวณชั้นที่ 13 และสวีชิ่งจะอยู่คอยสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถอนกำลังออกจากมหาวิทยาลัย
กว่าจั่นเจาและไป๋อวี้ถังจะกลับมาถึงยังสํานักงาน S.C.I. ท้องฟ้า ด้านนอกก็มืดแล้ว
เจี่ยงผิงกําลังวุ่นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขากำลังสแกนเศษกระดาษที่หลงเหลือจากการถูกไฟไหม้ที่หวังเฉาเก็บมาจากบ้านของอู๋เฮ่าเพื่อทําการวิเคราะห์จากชิ้นส่วนภาพที่เหลือ
กงซุนเดินคาบขนมปังออกมาจากห้องชันสูตรศพ ในมือถือผลรายงาน ชันสูตรศพของหลี่เฟยฝานอยู่
เขาพบรอยจุดสีเทาบริเวณลำคอของหลี่เฟยฝาน ซึ่งเป็นอาการของผิวหนังตายจากการถูกช็อร์ตด้วยไฟฟ้า
นี่ถือเป็นข้อพิสูจน์การอนุมานของจั่นเจาและไป๋อวี้ถังที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เจ้าหู่ร้องถามด้วยความตื่นตระหนก “กงซุน นี่นายคงไม่ได้กินไปชันสูตรศพไปหรอกนะ”
กงซุนหันมามองเขา หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาถามอย่างน่าสะพรึงกลัวว่า “กินอะไรเหรอ”
เจ้าหู่ตกใจร้อง “แม่จ๋า” แล้ววิ่งหนีไป!
ทุกคนไม่รู้สึกง่วงนอน จึงตัดสินใจที่จะอยู่ทำงานล่วงเวลาที่หน่วย S.C.I.
เมื่อจั่นเจากลับมาถึงสํานักงานก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นแล้วก้มหน้าพิมพ์อะไรบางอย่าง ไป๋อวี้ถังที่เดินวนไปวนมาอยู่พักหนึ่งก็ตามจั่นเจาเข้มาในห้องทำงาน
“นี่นายไม่เห็นป้ายที่แขวนอยู่หน้าประตูเหรอ” จั่นเจาชี้ไปที่ป้าย ‘ห้ามรบกวน’ หน้าประตู
“เห็นแล้ว!” ไป๋อวี้ถังนั่งลงตรงข้ามกับจั่นเจา “นั่นไม่ใช่ป้าย ‘ยินดีต้อนรับ’ หรอกเหรอ”
โกรธ! จั่นเจาไม่สนใจเขา ก้มหน้าพิมพ์งานต่อไป
“นี่นายกำลังเขียนอะไรอยู่ นิยายสยองขวัญอีกแล้วเหรอ” ไป๋อวี้ถังโน้มตัวเข้ามา
“ฉันเคยเขียนนิยายตั้งแต่เมื่อไรกัน นี่มันบทความทางวิชาการต่างหาก” จั่นเจาเน้นเสียง
“อ๋อ…” ไป๋อวี้ถังหยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะของจั่นเจาขึ้นม “นายดูชื่อเรื่องเหล่านี้สิ… ‘ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีพฤติกรรมทางจิตเวช’… ‘ความมีเหตุผลกับนิสัยของสัตว์ป่า’ … ‘การแยกชิ้นส่วน หั่น และการทิ้งศพ’ …”
ไป๋อวี้ถังโยนหนังสือเหล่านั้นกลับไปที่โต๊ะของจั่นเจาราวกับไล่แมลงสาบ “แล้วนี่ไม่ใช่นิยายสยองขวัญหรือไง”
จั่นเจากลอกตามองเขาอย่างเกรี้ยวกราด “ออกไปเลย! นายกําลังรบกวนฉันเป็นอย่างมาก!”
ไป๋อวี้ถังโน้มตัวเข้ามาข้างหู “ช่วงนี้นายกำลังศึกษาอะไรอยู่ ฉันเห็นนายเขียนอยู่หลายวันแล้วนะ”
จั่นเจายังคงนั่งพิมพ์ต่อไป ตอบโดยไม่ได้เงยหน้าว่า “มันเกี่ยวกับพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ ช่วงนี้ฉันได้ตีพิมพ์ใน ‘นิตยสารจิตวิทยานานาชาติ’ อยู่หลายบทความแล้ว และผลตอบรับก็ดีมาก ทางบรรณาธิการบอกว่าอยากให้ฉันเขียนเป็นหนังสือ”
“พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำเหรอ” ไป๋อวี้ถังฟุบอยู่กับโต๊ะแล้วเชิดคางขึ้นมา “แล้วมันแตกต่างกับอาการทางจิตเวชตรงไหน”
ไป๋อวี้ถังหัวเราะอย่างร่าเริง มองไปที่จั่นเจาที่มีสีหน้าโกรธจัด แล้วเริ่มกวาดสายตามองตั้งแต่โต๊ะหนังสือไปยังชั้นหนังสือ “ ‘นิตยสารจิตวิทยานานาชาติ’ เล่มนั้นน่ะเหรอ” เขาชี้ไปที่หนังสือเล่มหนาหลายเล่มบนชั้นหนังสือแล้วถาม
“อืม” จั่นเจาเหลือบตามองแล้วพยักหน้า
ไป๋อวี้ถังลุกขึ้นหยิบนิตยสารหลายเล่มนั้นมาไว้ในมือก่อนจะพลิกดู“ ‘พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำและการชี้นำทางจิตวิทยา’ ?”
จั่นเจาเงยหน้าขึ้นมองเขา “บทความนี้แหละ”
นิ่งอ่านอยู่เป็นเวลานาน “เจ้าแมว นี่ใช้ภาษาจีนเขียนจริง ๆ ใช่ไหม” จั่นเจาขมวดคิ้วเขียนต่อไป ไม่สนใจเขา
“เปิดดูก็เหมือนภาษาจีนนะ แต่พอเขียนเป็นประโยคแล้วอ่านดูทำไมไม่เหมือนภาษาจีนเลยล่ะ” ไป๋อวี้ถังนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ทั้งที่ยังถือนิตยสารนั้นไว้ “ผลกระทบที่มาจากการชี้นำทางจิตวิทยาสำหรับคนทั่วไปแล้วมันน้อยมาก แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำแล้วมันส่งผลเป็นอย่างมาก และในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ต่างก็มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำที่อยู่ในจิตใต้สำนึกกันทั้งสิ้น…”
ไป๋อวี้ถังยิ้มกว้างอ่านจนจบ ก่อนจะถามว่า “นี่ใช่ภาษาคนแน่นะ”
จั่นเจาย่นจมูกและมองเขาเหมือนกับคนที่ไม่รู้หนังสือ “ที่เขียนน่ะใช่! แต่จากที่นายอ่านออกมามันไม่ใช่แล้ว!”
ไป๋อวี้ถังยักไหล่แล้วอ่านต่อไป “สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำนั้น ขอแค่เพียงค้นพบสาเหตุของโรค ก็จะสามารถอาศัยการชี้นำทางจิตวิทยา มาเปลี่ยนแปลงจิตใต้สำนึกของผู้ป่วยได้อย่างง่ายดาย…” เขาส่ายหน้า “แปลว่าอะไร”
“ความหมายตรงตามตัวอักษร!” จั่นเจาจิบชาแล้วมองไปที่ประตูใหญ่ “นายไม่มีอย่างอื่นทำอีกแล้วเหรอ”
ไป๋อวี้ถังกลับดูเหมือนยังติดอกติดใจบทความนั้นมาก เขาถามจั่นเจา “นายหมายความว่า การชี้นำทางจิตวิทยาให้ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำนั้นสามารถทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้งั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว!” จั่นเจาพยักหน้า “สำหรับคนที่มีจิตใจค่อนข้างอ่อนแอจะทำให้ระบบความคิดและความเชื่อของเขาสับสน กรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือมันสามารถทำให้กระบวนการรับรู้พังทลายได้!”
“เอ๊ะ? ไหนนายลองพิสูจน์ให้ดูหน่อยซิ!” ไป๋อวี้ถังชี้ไปที่จมูกของ ตนเองอย่างสนอกสนใจ “ทำให้ฉันพังทลาย”
จั่นเจาเบี่ยงศีรษะมองพิจารณาเขาก่อนจะส่ายหน้า “อย่างนายไม่เข้าหลักเกณฑ์!”
“หลักเกณฑ์อะไร” ไป๋อวี้ถังถามอย่างงุนงง
ในที่สุดจั่นเจาก็ละความสนใจจากโน้ตบุ๊กของเขา จ้องมองไป๋อวี้ถังแล้วพูดว่า “ต้องเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ พื้นฐานทางความคิดค่อนข้างสับสน และทักษะในการสื่อสารแย่!”
ไป๋อวี้ถังครุ่นคิด “นั่นหมายความว่าคิด ต้องหาคนที่ค่อนข้างขี้ขลาด เลอะเลือนนิดหน่อย และโง่ด้วยสินะ?”
จั่นเจาแสดงสีหน้ารังเกียจ พอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็จำต้องพยักหรับ
ไป๋อวี้ถังยิ้มอย่างพึงพอใจ “ง่ายนิดเดียว!” จากนั้นก็หันออกไปทางประตูแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “เจ้าหู่!”
….
จั่นเจามองเจ้าหู่ที่กําลังวิ่งเข้ามาอย่างซื่อบื้อ ก่อนจะถามไป๋อวี้ถังด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรเหรอครับ”
ไป๋อวี้ถังยิ้ม “อย่าทำให้เขาถึงกับต้องพังทลายนะ! เอาแค่สับสนอลหม่านก็พอ!” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วดึงเจ้าหู่ที่วิ่งเข้ามาให้นั่งลงตรงหน้าจั่นเจา
หลังจากปิดประตูและมู่ลี่ลงทั้งหมดแล้ว
เจ้าหู่รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เงยหน้ามองจั่นเจา แล้วมองไปทางไป๋อวี้ถัง “หัวหน้า? จะทำอะไรเหรอ”
ไป๋อวี้ถังหันไปขยิบตาให้จั่นเจาเป็นเชิงบอกว่า “เจ้านี่ตรงกับหลักเกณฑ์แล้วใช่ไหม”
จั่นเจาถอนหายใจอย่างจนปัญญา มองไปทางเจ้าหู่อย่างเห็นอกเห็นใจ
ไป๋อวี้ถังเชิดคางมองไปทางเขาอย่างท้าทาย “ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่ากำลังหลอกคนอยู่!”
จั่นเจามองสีหน้าหยิ่งยโสและยั่วโมโหของเขาแล้ว กัดฟันแน่นอนจะเหลือบมองเจ้าหู่ ในใจคิดว่า ‘เพื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ต้องเสียสละตัวนายแล้ว!’ เจ้าหู่ผู้น่าสงสารจึงกลายเป็นหนูทดลองด้วยเหตุนี้
“เจ้าหู่ นายคือเจ้าหู่จริงหรือไม่” จั่นเจาปิดโน้ตบุ๊กลง แล้วถามเจ้าหู่อย่างจริงจัง
“อะไรนะ” เจ้าหู่กะพริบตาปริบ ๆ “ดอกเตอร์จั่น คุณ…หมายความว่ายังไง”
จั่นเจาสีหน้าเคร่งขรึม พูดต่อ “นายคือเจ้าหู่จริงหรือไม่”
เจ้าหู่ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หันหน้าไปถามไป๋อวี้ถัง “หัวหน้า? นี่มันอะไรกันครับ”
ไป๋อวี้ถังกลั้นหัวเราะ ทำสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน “ตอบคำถาม!”
เขาพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา “ใช่…ใช่ครับ”
“มีหลักฐานไหม” จั่นเจาถามต่อ
“…? …บัตร…บัตรประชาชนใช้ได้ไหมครับ…” เจ้าหู่ล้วงมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงของเขา
จั่นเจากลับตบลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “นายมีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้หรือไม่ว่านายคือเจ้าหู่คนเดียวกันกับคนเมื่อวาน?!”
…หา…
เจ้าหู่ตกตะลึงอ้าปากค้าง “เมื่อ…เมื่อวานกับ…กับวันนี้ มี…มีอะไร ไม่เหมือนกันเหรอครับ”
จั่นเจาตอบ “ฉันจำได้ว่าปู่ของนายเสียไปแล้วใช่ไหม”
“…เอ่อ ใช่ครับ… เจ้าหู่พยักหน้า” ตามความคิดก้าวกระโดดของจั่นเจาไม่ค่อยทัน
“นายแน่ใจนะว่านายมีปู่แค่คนเดียว?” จั่นเจาถามอีก
…หา…
เจ้าหู่เริ่มสับสน “อันนั้น…ก็เพิ่งบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเสีย…เสีย ไปแล้ว”
‘ปัง!’ จั่นเจาตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “ใครจะยืนยันให้ได้?!”
เจ้าหู่หวาดกลัวตัวสั่นระริก ตอบว่า “ผม…ผมยืนยันได้ ยังมีพ่อแม่ของผม…”
จั่นเจานั่งลงไป จิบชาอึกหนึ่ง “นายหมายความว่า พวกนายมีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาใช่ไหม”
“ใช่ครับ! ใช่ครับ!” เจ้าหู่รีบพยักหน้า
“แล้วถ้าเกิดความทรงจำเป็นของปลอมล่ะ”
…
“ปลอม?” ในดวงตาของเจ้าหู่เหมือนจะเริ่มเกิดความฉงนเป็นวงรูปก้นหอย เขามองไปที่จั่นเจาอย่างใสซื่อ
จั่นเจาค่อย ๆ พูดกับเขา “นายลองคิดดู! ถ้าหากจะบอกว่า ความจริงแล้วปู่ของนายไม่เคยมีตัวตนมาก่อน และนายกับครอบครัวก็ถูกใส่ความทรงจำที่เกี่ยวกับปู่เข้าไป แล้วนายจะยังกล้าพูดว่าปู่ของนายเคยมีตัวตนอยู่ อีกไหม”
เจ้าหู่เบิกตากว้าง มองไปที่จั่นเจาอย่างหวาดผวา
จั่นเจาคาดคั้นถามต่อไปว่า “ก็เหมือนกับที่บอกกันว่ามีมนุษย์ต่างดาวแล้วใครมีหลักฐานบ้างล่ะ”
“…ผม…ผมไม่รู้ …” เจ้าหู่เม้มปาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“หรือว่านายจะเป็นมนุษย์ต่างดาว?” จั่นเจาจ้องมองไปที่ดวงตาของเจ้าหู่
…หา…
ท่าทางของเจ้าหู่เหมือนกำลังถูกจ่อด้วยปืน AK-47
ไป๋อวี้ถังโบกมืออยู่ด้านข้างเป็นเชิงบอกว่า “พอเถอะ เขาสับสนไปหมดแล้ว!”
จั่นเจาใช้สายตาที่เด็ดเดี่ยวตัดบทเขา ในใจบอกว่า ‘นี่เป็นเพียงแค่ระดับผิวเผินเท่านั้น วันนี้จะให้นายได้เห็นความร้ายกาจของฉัน!’
“ก็ไม่แน่ว่าครอบครัวของนายอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวกันหมดทุกคนเพียงแต่พวกนายถูกใส่ความทรงจำของความเป็นมนุษย์เข้าไป จึงเข้าใจผิดว่าตัวเองนั้นเป็นมนุษย์!”
จั่นเจายิ้มอย่างมีนัยลึกซึ้ง “หรือไม่ก็ เจ้าหู่คนเมื่อวานได้ตายไปแล้ว ส่วนคนที่อยู่ตรงนี้ในวันนี้ไม่ใช่เจ้าหู่ แต่เป็นใครสักคนที่ถูกใส่ความทรงจำของเจ้าหู่ลงไปเท่านั้น! นายกล้าพูดหรือไม่ว่าที่ฉันพูดนั้นมันเป็นไปไม่ได้?”
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเจ้าหู่ร้องโหยหวน “อ๊าก…” ก่อนจะกระโดดออกจากเก้าอี้วิ่งออกจากห้องทำงาน เข้าสวมกอดหวังเฉาที่เดินสวนเข้ามาแล้วร้องไห้คร่ำครวญ “ฉันคือใคร?! ฉันคือใคร?! ฉัน ไม่อยากเป็นมนุษย์ต่างดาว!”
…ผู้คนที่อยู่ในสำนักงานต่างเข้ามารวมกันตัวแข็งทื่อ…
ไป๋อวี้ถังพิงชั้นหนังสือที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
จั่นเจาม้วนปลายแขนเสื้อขึ้นอย่างสง่างาม เห็นเสือไม่คำราม ก็คิดว่าฉันเป็นแค่แมวโง่หรือไง! พลางนั่งลง เปิดโน้ตบุ๊กแล้วพิมพ์งานต่อไป
ไป๋อวี้ถังหัวเราะจนพอใจแล้วก็เดินออกไป ไม่นานนักเขาก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเอกสารกองใหญ่ ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าจั่นเจา
จั่นเจาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นข้อมูลของเหยื่อใน ‘คดี หมายเลข’ ครั้งนี้ทั้งหมด
ไป๋อวี้ถังพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เจ้าแมว ดูซิว่าคนเหล่านี้ตรงกับ หลักเกณฑ์ของการได้รับการชี้นำทางจิตวิทยาของพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า”
จั่นเจากะพริบตา จากนั้นจึงมองไป๋อวี้ถังอย่างเข้าใจในความหมาย “โอ้…เจ้าหนู นายนี่เจ๋งจริง!”