ฆาตกรหมายเลข 05 สะกดรอย
สำนักพิมพ์โรส
05
สะกดรอย
หลังออกจากหอฌาปนกิจแล้ว ไป๋อวี้ถังก็โทรศัพท์หากงซุนเพื่อบอกให้เขารู้ว่าที่นี่ยังมีคนตายอีกหนึ่งคน จากนั้นขึ้นรถไปกับจั่นเจา
“แล้วจะเอายังไงต่อ” จั่นเจากำลังเปิดดูบันทึกที่เกี่ยวข้องกับคดีรถแท็กซี่ชนคนในแฟ้มเอกสาร
“ไปเรือนจำ” ไป๋อวี้ถังปรับกระจกมองหลัง “ไปคุยกับตาลุงบ้านั่น เสียหน่อย”
“อู๋เฮ่า อายุ 47 ปี ขับแท็กซี่มานานกว่า 20 ปี สมรสแล้ว มีลูกสาวอายุ 19 ปีซึ่งกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย…” จั่นเจาปิดแฟ้มเอกสาร “ดู ยังไงก็ไม่เหมือนพวกคลุ้มคลั่งต้องการแก้แค้นสังคมเลย”
“ได้ยินว่าตาลุงนี่ตอนขึ้นศาลได้แสดงให้เห็นถึงอาการหลายบุคลิกหลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลจิตเวช”
“คนบ้า อาการหลายบุคลิก และอาการป่วยทางจิต สามสิ่งนี้มีแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!” จั่นเจาจิ้มที่หน้าปัดรถยนต์ “นายขับเร็วเกินไปแล้ว!”
“สำหรับฉันไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง ในสายตาของนายแล้ว มนุษย์แบ่งออกได้หลายประเภท แต่ในสายตาฉัน มีเพียงสองประเภทเท่านั้น คนดีกับคนเลว” ไป๋อวี้ถังพูดไปพลางมองดูกระจกมองหลังไปพลาง “นายรู้สึกว่ารถที่อยู่ข้างหลังคันนั้นขับตามเรามาหรือเปล่า”
จั่นเจากำลังจะหันไปมองก็ถูกไป๋อวี้ถังห้าม “อย่าหันไป! มองผ่านตรงนี้” ว่าแล้วก็ขยับกระจกมองหลังให้จั่นเจา
เมื่อมองผ่านกระจกมองหลังจั่นเจาเห็นรถยนต์ฮอนด้าสีดําคันหนึ่งขับตามหลังพวกเขาอยู่ 3 – 4 เมตร “ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ผิดปกติ เลย…ลางสังหรณ์ของนายอีกแล้วเหรอ”
“ฉันผ่านการฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง! เจ้าแมว” ไป๋อวี้ถังยักคิ้ว มองไปที่เข็มขัดนิรภัยของจั่นเจา
“นายคิดจะทําอะไร” จั่นเจาจับเข็มขัดนิรภัยแน่นอย่างระแวดระวัง เหล่ตามองเขา
“รู้ไหมว่าฉันกับนายต่างกันตรงไหน” ไป๋อวี้ถังยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะหมุนกระจกมองหลังกลับมายังตําแหน่งเดิม “นายน่ะมันสายทฤษฎี แต่ ฉัน…เป็นสายปฏิบัติจริง!” พูดจบก็เหยียบคันเร่งลงไป
ในเวลานี้ประสิทธิภาพความเร็วสูงของรถสปอร์ตได้แสดงออกมาทันที หลังจากที่แซงรถหลายต่อหลายคันไปได้อย่างง่ายดายแล้ว ไป๋อวี้ถังก็ลดความเร็วลงจนเท่ากับเมื่อครู่ หลังจากนั้นไม่นานรถยนต์ฮอนด้าสีดําคันนั้นก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังพวกเขาอีกครั้ง
“หึ ๆ …” ไป๋อวี้ถังเลิกคิ้วมองจั่นเจาอย่างภาคภูมิใจ “ใกล้เคียงกับสัมผัสที่หกของสัตว์ป่าจริง ๆ” จั่นเจาปรับกระจก
มองหลังให้เขาสามารถมองเห็นได้ “จำป้ายทะเบียนและหมายเลขรุ่นเอาไว้แล้ว จะให้ใครตรวจสอบมั้ย”
“เป็นของปลอมแน่นอน” ไป๋อวี้ถังหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม “นั่งดี ๆ นะเจ้าแมว!”
“นายคิดจะทําอะไร” จั่นเจาคว้ามือจับตรงเพดานรถเอาไว้แน่น “บางทีพวกเขาอาจจะแค่ชอบรถของนาย เลยอยากจะถ่ายรูปกับมันเท่านั้นเอง”
“การสะกดรอยตามโดยไม่มีเจตนาที่ชัดเจนแบบ ฉันไม่สนใจทั้งนั้น”
“พูดอย่างกับว่ามีคนสะกดรอยตามนายบ่อย ๆ อย่างนั้นแหละ” จั่นเจาบุ้ยปาก กระชับเข็มขัดนิรภัยให้แน่นขึ้น
“แน่นอน! ฉันป็อปปูลาร์มาก!” ไป๋อวี้ถังเน้นย้ำ “แต่ว่าพวกเขาล้วนขาดสามัญสำนึก!”
“หมายความว่ายังไง”
“ควรต้องรู้ว่า แม้จะอยู่บนถนน ก็ไม่มีใครสามารถสะกดรอยตามนักบินที่ขับเครื่องบินรบได้ทันหรอก!” พูดจบไป๋อวี้ถังก็เหยียบคันเร่งจนมิดอีกครั้ง
ความบ้าระห่ำของไป๋อวี้ถังทำให้ความเร็วรถต่อชั่วโมงของเข็มไมล์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าเรือนจำ เมื่อทั้งสองลงจากรถก็พบว่าด้านหลังมีเพียงความว่างเปล่า
“รู้สึกยังไงบ้าง” ไป๋อวี้ถังสีหน้าเหมือนยังไม่หายอยาก “ขับรถมันต้องแบบนี้สิ!”
จั่นเจาไม่เห็นด้วย “ฉันแนะนําให้นายซื้อประกันชีวิตเพิ่ม พฤติกรรมของนายแสดงให้เห็นว่านายยังคงเสพสุขอยู่กับความรู้สึกภาคภูมิใจในตอนที่ยังเป็นนักบินอยู่! และมันยังเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า นายยังมีปัญหากับการปรับตัวให้เข้ากับสถานะทางสังคมอย่างรุนแรง”
“เฮ้อ…” ไป๋อวี้ถังถอนหายใจก่อนจะยื่นมือออกมาดีดนิ้ว ดึงสายตาของจั่นเจาให้มองไปข้างหน้า “ดูนั่น! เจ้าแมว! ดูตรงนั้นสิ!”
ประตูเรือนจำตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ไป๋อวี้ถังพูดต่อ “คนที่นาย ต้องศึกษาอยู่ตรงนั้นแล้ว! เข้าไปแล้วก็แสดงความสามารถในการวิเคราะห์อันยอดเยี่ยมของนายออกมาให้เต็มที่เถอะ! เลิกใช้ฉันเป็นหนูทดลอง ของนายได้แล้ว!”
“ความจริงนายมันก็แค่หนูขาวเท่านั้น!” จั่นเจารีบสาวเท้าไล่หลัง ตามเขาเข้าไปในเรือนจำ “นี่แหละโชคชะตาของนาย!”