“…คาดการณ์อนาคตเหรอ”
เพเรลมานลูบคางตัวเองและขมวดคิ้วขณะที่พูด “แล้วนั่นมันเกี่ยวอะไรกับคณิตศาสตร์”
ชูลทซ์พยักหน้าและพูดกับอัลเบิร์ตด้วยท่าทีสับสน “ขอโทษนะ แต่มันฟังดูเหมือนออกมาจากละครเลย”
“แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์! ” อัลเบิร์ตพูดด้วยความตื่นเต้น “เราจะทำนายอนาคตโดยการใช้หลักคณิตศาสตร์”
อพาร์ตเม้นต์เงียบลงอีกครั้ง
ครุกแมนแสดงท่าทางให้อัลเบิร์ตนั่งลง แต่อัลเบิร์ตไม่สนใจ อัลเบิร์ตยังคงจ้องเพเรลมานต่อ
แต่…
ความหวังของเขาพังทลาย
ไม่เพียงแค่เพเรลมาน แต่ชูลทซ์เองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
ราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องคนบ้าอยู่…
“ผมคิดว่าคุณเพ้อฝันมากไป”
ชูลทซ์กระแอมและทำลายความเงียบ เขาพูดต่อ “การทำนายอนาคตไม่ใช่หัวข้อคณิตศาสตร์ ผมไม่คิดว่ามันอยู่ภายใต้หลักฟิสิกส์ด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปรัชญา เพราะสุดท้ายแล้วมันมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรแน่นอนเลย ถ้าวันนี้ฝนตก ผมก็อาจจะไม่ได้มาที่นี่ก็ได้”
“แต่สภาพอากาศสามารถพยากรณ์กันได้! เส้นทางของคนไม่สามารถทำนายได้แต่กลุ่มคนทำนายได้ ลองดูอย่างการพยากรณ์การจราจรของนครนิวยอร์กและอากาศในช่วงห้าปีที่ผ่านมาสิ”
อัลเบิร์ตพูดต่อด้วยความมั่นใจ “มนุษย์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอนุภาคที่ลอยอยู่ในน้ำ เราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือสิ่งที่รบกวนเราไม่ใช่การปะทะกันของอะตอมแต่เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านเซลล์ประสาทที่ควบคุมการกระทำของเรา
“มีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถติดตามกิจกรรมของมนุษย์ เช่นอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรศัพท์ ถ้าเราวิเคราะห์ข้อมูลที่มีทั้งหมดได้ เราก็สามารถคาดการณ์ได้ไกลกว่าเรื่องที่น่าเบื่ออย่าง จำนวนคนที่เห็นโฆษณา เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้ไกลสิบนาที สิบวัน หรือแม้กระทั่งสิบปี
“คุณไม่คิดว่ามันฟังดูน่าตื่นเต้นเหรอ”
ศาสตราจารย์ครุกแมนเริ่มปรบมือ
แต่เขาเป็นคนเดียวที่ปรบมือ
ทั้งเพเรลมานและชูลทซ์ดูสับสนงุนงง
แม้แต่ตัวลู่โจวเองก็ตกตะลึง เขาจำได้ว่าเขาเคยถกเถียงถึงปัญหาที่คล้ายกันนี้กับศาสตราจารย์ครุกแมนตอนอยู่เซี่ยงไฮ้
นั่นก็คือความเป็นไปได้ในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมทางสังคมและความสามารถในการผลิตขนาดใหญ่
“ฟังดูน่าสนใจดีครับ” ลู่โจวพูด เขาพูดต่อ “มันทำให้ผมนึกถึงประวัติศาสตร์จิตวิทยาของอสิมอฟ คุณนำทฤษฎีนี้มาจากสิ่งนี้ใช่ไหม”
“ไม่! ทฤษฎีของผมมาจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ โอเค ผมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากอสิมอฟนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้พูดถึงนิยายแฟนตาซีนะ นี่คือปัญหาทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่! “
“โอเค สมมุติว่าพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ แต่แล้วอย่างไร” ชูลทซ์ขมวดคิ้วและพูด “แม้แต่พฤติกรรมของคุณเองหรือแม้แต่การสังเกตการณ์เองก็ส่งผลต่อการทดลอง มันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายและแทบจะเป็นไปไม่ได้”
“พระเจ้า แล้วจะทำวิจัยเรื่องทวิภาคคลื่นอนุภาคไปเพื่ออะไร คุณไม่คิดเหรอว่าการคาดการณ์อนาคตเป็นโปรเจกต์งานวิจัยที่น่าตื่นเต้น ถ้าเราจะพิสูจน์ได้ว่าการคาดการณ์อนาคตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ชื่อของเราจะอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์”
ชัดเจนว่าอัลเบิร์ตและครุกแมนมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อชักชวนเพเรลมานให้ร่วมทีมวิจัยของพวกเขา
นักวิชาการอย่างเพเรลมานเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเขาเรื่องโปรเจกต์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพเรลมานดูเหมือนจะเป็นคนที่ชักจูงได้ง่าย
เหตุผลที่เขาแก้ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเรก็เพราะเขาคุยกับแฮมิลตันเกี่ยวกับข้อคาดการณ์ที่อเมริกา…
อัลเบิร์ตเริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
ครุกแมนพยายามบอกให้เพื่อนของเขาใจเย็นเพราะพูดต่อก็ไม่เป็นผล
ผลลัพธ์ก็พอจะเดาได้ เพเรลมานปฏิเสธพวกเขาทันที
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดว่าพวกเขาโง่เง่าเสียทีเดียว เพเรลมานพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงว่าเขาไม่คิดว่าการปรับใช้คณิตศาสตร์กับเรื่องที่น่าเบื่อเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
สำหรับชูลทซ์แล้ว เขามุ่งมั่นที่จะยกระดับคณิตศาสตร์ของตัวเองให้สูงขึ้น เขาคงไม่เสียเวลากับโปรเจกต์เล็กๆ แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธอย่างสุภาพและพูดว่าเขาจะลองกลับไปคิดถ้าพอมีเวลา
สำหรับลู่โจว…
จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างสนใจปัญหาแปลกใหม่นี้
เขาไม่เหมือนชูลทซ์ เขารักในการใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับข้อบังคับและวิทยาศาสตร์อื่นๆ
ก็เหมือนกับศาสตราจารย์ครุกแมนเคยบอก การคาดการณ์อนาคตเป็นปัญหาที่น่าหลงใหล
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเศรษฐศาสตร์ หรือใส่ใจสังคมศาสตร์ ปัญหานี้ก็ดูแปลกใหม่ใหม่และพิเศษ
แต่เขาไม่ได้ให้คำตอบทันที
“ผมขอเวลาคิดหน่อย ผมไม่มีแผนที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอื่นจนกว่าจะแก้สมมติฐานของรีมันน์ได้”
หลังจากที่ได้ยินลู่โจวพูดอัลเบิร์ตห่อไหล่และดูผิดหวังอย่างมาก
ในความคิดของเขา ลู่โจวก็แค่ปฏิเสธอย่างสุภาพ
“หลังจากที่แก้สมมติฐานของรีมันน์…พระเจ้า คุณเองก็อาจจะปฏิเสธก็ได้”
ครุกแมนดูเศร้าเล็กน้อย เขามองไปที่เพเรลมานและลู่โจว หลังจากนั้นก็พูดขึ้น
“เอาเป็นว่าคุณลองกลับไปคิดดูก็แล้วกัน”
ลู่โจว “จริงๆ แล้วผมมีคำถาม”
ครุกแมน “…คำถามอะไรกัน”
ลู่โจวพูด “ถ้าอนาคตคาดการณ์ได้จริงมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”
ครุกแมนพูด “ผมตอบไม่ได้ มันเป็นคำถามนอกเหนืองานวิชาการ ก็เหมือนตอนที่อัลเบิร์ตเขียนหนังสือ ลิงกต์ วิทยาศาสตร์ใหม่ของระบบเครือข่าย เขาไม่ได้คาดคิดว่าทฤษฎีของเขาจะถูกใช้ในซิลิคอนแวลลีย์เพื่อสร้างรายได้จากการโฆษณา…”
อัลเบิร์ตไม่ค่อยพอใจ
“นี่ อย่าพูดแบบนั้นสิ ข้อมูลที่มหาศาลไม่ใช่การโฆษณา! มันช่วยต่อต้านการก่อการร้าย การรักษาพยาบาล การออกแบบชุมชนเมือง และอื่นๆ “
ศาสตราจารย์ครุกแมนไม่สนใจอัลเบิร์ตและพูดต่อ “วันหนึ่ง อยู่ดีๆ เขาก็มาเจอผมและบอกว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นเรื่องจริง ปฏิกิริยาแรกของผมคือปฏิเสธเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ตัดสินใจทำงานกับเขา”
ลู่โจวถามกลับว่า “ทำไมล่ะ?”
“ไม่ว่ามันจะเป็นการวิจัยทางทฤษฎีหรือการวิจัยประยุกต์ นักวิชาการก็ไม่ควรเป็นคนที่ระบุว่าเทคโนโลยีคือสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิชชั่นคือสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ คนส่วนใหญ่ในปี 1945 จะคิดแบบนั้น แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป บางทีการมีอาวุธที่ทรงพลังอาจทำให้โลกสงบสุขก็ได้”
“ดังนั้นผมคิดว่าเราควรมองเรื่องนี้จากมุมมองทางวิชาการ เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการคาดการณ์อนาคต ไม่ใช่เราควรทำอะไรกับมัน”
“ไม่ว่าเราจะเลือกใช้เทคโนโลยีนี้หรือไม่ก็ตาม อารยธรรมของเราจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
ศาสตราจารย์ครุกแมนมองไปที่ลู่โจวอย่างจริงใจ หลังจากนั้นสักพัก ลู่โจวพยักหน้า
“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร
“เราจะคุยกันเรื่องนี้กันอย่างละเอียดในอนาคต”
ครุกแมนพยักหน้า อัลเบิร์ตยักไหล่และพูด “ผมตั้งตารอวันนั้นนะ”
แม้ว่าเขาจะเป็นนักฟิสิกส์ แต่เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสมมติฐานของรีมันน์
ข้อคาดการณ์ทางคณิตศาสตร์อื่นๆ เป็นเรื่องยาก แต่อย่างน้อยก็มีคนทำให้มันคืบหน้าขึ้นมา
สมมติฐานของรีมันน์ก็เหมือนเทือกเขาที่โดดเดี่ยว ที่ไม่มีใครปีนได้
มันอาจจะใช้เวลาหลายร้อยปีจนกว่าจะมีคนแก้มันได้…
บางทีจนถึงตอนนั้นอัลเบิร์ตอาจไม่อยู่แล้วก็ได้
………………………
Related