สายโทรศัพท์ยาวนานสิบนาที
เมื่อเขาได้ยินมาว่าเฉินยู่ซานได้หนูทดลองแล้ว เขาก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
ในแง่หนึ่งมันเป็นเรื่องดี
เขาสามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้เสียที
ลู่โจวพยักหน้าให้โดยไม่พูดอะไรต่อ
“โอเค เข้าใจแล้ว…
ขอบคุณนะ”
แล้วเขาก็วางสาย
ศาสตราจารย์ลูเมียร์สังเกตดูสีหน้าของลู่โจวระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์ หลังจากลู่โจววางสายเขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นครับ?”
ลู่โจวตอบว่า “มีเรื่องเกี่ยวกับคุณ แต่มันเกี่ยวไม่มากเท่าไหร่ ผมจะอธิบายให้คุณฟังทีหลัง”
เขานิ่งไปชั่วครู่และพูดต่อ
“คุณต้องรอฟังเรื่องงานของคุณพรุ่งนี้ ผมจะจัดหาโรงแรมห้าดาวแถวนี้ให้คุณพัก คุณจะถูกย้ายไปที่พักอาศัยถาวรในอีกไม่กี่วัน ผมขอแนะนำให้คุณทำตามเส้นทางเทคนิคที่คุณร่างไว้วันนี้ ผมมั่นใจว่าคุณมีพิมพ์เขียวอยู่ในใจแล้วแต่เราต้องมาดูรายละเอียดกันอีกที”
ศาสตราจารย์ลูเมียร์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่อยู่ดีๆ ตาของเขาเบิกกว้าง
“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังบอกว่าผมต้องอยู่ที่จีนเพื่อทำโปรเจกต์กับคุณ? ทำไมคุณไม่บอกเรื่องนี้กับผม? ผมมีงานของผมที่สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็มีเรื่องวีซ่า—”
ลู่โจวไม่อยากฟังเรื่องน่ารำคาญพวกนี้ เขาเลยตัดบทด้วยความรำคาญ “เงินเดือนรายปีหนึ่งล้าน”
” หน่วยเงินยูโรนะ”
ศาสตราจารย์ลูเมียร์อ้าปากกว้างแต่ก็หุบปากลงอีกครั้ง
“…โอเค ผมจะเขียนจดหมายลาออกให้ผู้ว่าจ้างผม”
ลู่โจวพยักหน้าและพูดว่า
“โอเคครับ”
…
หลังจากโทรหาเฉินยู่ซาน ลู่โจวมีไอเดียคร่าวๆ ว่าแผนของเธอเป็นอย่างไรบ้าง
มีคนจำนวนมากในชุดยูนิฟอร์มทหารยืนอยู่ในห้องรับรอง
ลู่โจวจำชายชราคนนี้ได้
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครนอกเสียจากฉินจวงเหยียน รัฐมนตรีกระทรวงยุทโธปกรณ์กองทัพอากาศ
ในอดีต สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินและอวกาศแห่งสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์กองทัพอากาศในหลายโปรเจกต์ ซึ่งรวมไปถึงส่วนประกอบให้พลังงานยานอวกาศ
ผู้อำนวยการหลี่จากกระทรวงป้องกันราชอาณาจักรก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ลู่โจวเห็นว่าเจ้าหน้าที่สองคนนี้ตื่นเต้นกันมาก และเขารู้ว่าพวกเขาน่าจะรู้แล้วว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่า นักวิชาการลู่ ไม่เจอกันนานเลยครับ”
รัฐมนตรีฉินจับมือทักทายลู่โจวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า
หลังจากที่ลู่โจวปล่อยมือออก เขายิ้มให้และพูดว่า
“ใช่ ไม่เจอกันตั้งนานครับ”
ทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันตั้งแต่ที่พบกันครั้งล่าสุดที่จุดปล่อยยานอวกาศ รัฐมนตรีฉินดูสุขภาพดีขึ้นและมีพลังเหลือล้น
เมื่อลู่โจวพูดคุยสัพเพเหระกับผู้อำนวยการหลี่ รัฐมนตรีฉินพูดเข้าประเด็น
“ผมได้ยินมาว่าคุณเพิ่งสร้างเทคโนโลยีความจริงเสมือนอินเตอร์เฟสเส้นประสาท? ผมขอถามได้ไหมว่ามันคืออะไรกันแน่?”
ลู่โจวไม่อยากตอบคำถามนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนทั่วไป
เขารู้ว่ารัฐมนตรีฉินไม่น่าจะสนใจรายละเอียดทางเทคนิค
“มันอธิบายยากเล็กน้อย ผมโชว์ให้คุณดูดีกว่า”
รัฐมนตรีฉินรู้สึกโล่งอก
“เยี่ยมครับ!”
ผ่านไปไม่นาน ผู้คนกลุ่มนี้เดินเข้าห้องแล็บไป
ชายชราทั้งสองมองดูเก้าอี้ที่คล้ายกับเก้าอี้คลินิกหมอฟัน แล้วมองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกๆ
มันชัดเจนเลยว่าเขาสองคนกำลังคิดอะไรอยู่
ทั้งรัฐมนตรีฉินและผู้อำนวยการหลี่สงสัยว่าสิ่งนี้ยอดเยี่ยมเหมือนที่สตาร์สกายเทคโนโลยีอ้างไว้หรือไม่
ถ้าเกิดนักวิชาการลู่ที่ได้รับการนับถือไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาคงไม่ใจเย็นกันแบบนี้
“สิ่งนี้คือ…เครื่องจำลองภาพเสมือนจริงใช่ไหม?” ผู้อำนวยการหลี่พูดว่า เขามองดูเก้าอี้สภาพไม่น่าดูแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ดูธรรมดาไปหน่อยนะ?”
“ครับ มันเรียบง่าย สิ่งนี้เป็นแค่เครื่องทดลอง” ลู่โจวมองดูสองคนนี้และพูดว่า “พูดกันพอแล้ว ใครอยากเป็นคนลองก่อนดีครับ?”
ผู้อำนวยการหลี่และรัฐมนตรีฉินมองหน้ากัน
ในที่สุดผู้อำนวยการหลี่พูดขึ้นก่อน
“ผมไปเอง”
ลู่โจวพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร เขาบอกให้ทีมงานช่วยเชื่อมต่อผู้อำนวยการหลี่กับเครื่อง
มีแสงสัญญาณกะพริบขึ้นในตอนที่เครื่องเริ่มทำงาน
คนกลุ่มนี้ในห้องแล็บรอคอยสองสามนาทีให้ผู้อำนวยการหลี่ใช้เครื่อง
รัฐมนตรีฉินเริ่มหมดความอดทนเล็กน้อย ในที่สุดผู้อำนวยการหลี่ถอดหมวกออกด้วยสีหน้าตกตะลึง
รัฐมนตรีฉินมองดูผู้อำนวยการหลี่และถามว่า “มันเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้อำนวยการหลี่ส่งหมวกให้รัฐมนตรีฉินและตอบเขาไป “…ผมบรรยายไม่ถูกเลย คุณลองเองดีกว่า”
“งั้นก็ลุกขึ้น ขอผมลองหน่อย”
รัฐมนตรีฉินกระวีกระวาดปีนขึ้นที่นั่งและสวมหมวกเข้าที่ศีรษะ
ลู่โจวพยักหน้าให้กับทีมงานที่เปิดใช้งานเครื่อง
ผ่านไปสักพักหนึ่งรัฐมนตรีฉินก็ถอดหมวกออก เขารู้สึกช็อกยิ่งกว่าผู้อำนวยการหลี่ และมือของเขาสั่นเครือ
มีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
ทุกอย่างในโลกเสมือนดูสมจริงเกินไป
มันไม่ใช่แค่สมจริง มันเหมือนกับว่าทุกอย่างมีชีวิต
ก้อนเมฆโพล้เพล้สีแดงบนท้องฟ้าและใบหญ้าสีน้ำเงินพัดไหวไปตามลมทำให้เขานึกถึงบ้านเกิดช่วงฤดูใบไม้ร่วง…
เขาไม่อาจจะบรรยายสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้อำนวยการหลี่ถึงรู้สึกอึ้งมากขนาดนั้น
“สุดยอดไปเลย…”
ผ่านไปไม่นานรัฐมนตรีฉินมีสีหน้าตึงเครียด เขาถามลู่โจวตรงๆ “มันเป็นไปได้ไหมที่จะใช้เครื่องนี้ฝึกนักบิน?”
ลู่โจวรู้อยู่แล้วว่ารัฐมนตรีฉินจะถามแบบนี้ เขายังเดาได้ว่าเฉินยู่ซานบอกอะไรกับเขา
เขาคิดถึงเรื่องนั้นและพูดว่า “ผมไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับกระบวนการฝึกฝนนักบินเสียเท่าไหร่ แต่มันเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่ผู้เชี่ยวชาญจะพัฒนาหลักสูตรการฝึกเพื่อเลียนแบบยานอวกาศ”
เมื่อรัฐมนตรีฉินได้ยินว่ามันเป็นไปได้ทางทฤษฎี เขาถามทันทีว่า “เครื่องทั้งหมดนี้ราคาเท่าไหร่?”
ลู่โจวยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนครับ เทคโนโลยีนี้เสร็จแค่ครึ่งเดียว ผมยังสร้างไม่เสร็จ”
“เสร็จครึ่งเดียว?” รัฐมนตรีนิ่งไปชั่วครู่และพูดว่า “แต่ผมรู้สึกว่า—”
“คุณรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบแล้วใช่ไหมครับ?” ลู่โจวพูดต่อ “มันสมบูรณ์แบบแค่สำหรับความจริงที่เรียบง่าย แต่เมื่อความจริงซับซ้อนมากขึ้น นั่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
“โดยเฉพาะการใช้ฝึกฝนนักบิน นอกจากเราจะต้องจำลองเคบินของเครื่องบินแล้ว ก็ต้องจำลองสภาพแวดล้อมทางกายภาพและแอโรไดนามิคสำหรับกระบวนการบินทั้งหมดด้วย”
“โดยทั่วไปเราต้องสร้างระบบสำหรับเทคโนโลยีความจริงเสมือนเสียก่อน แล้วสร้างชุดเครื่องมือพัฒนาสำหรับระบบนี้”
รัฐมนตรีฉินรู้สึกงงเล็กน้อย เขาหยิกคิ้วตัวเองและพูดว่า “โอเค แล้วมีอะไรที่พวกเราช่วยได้ไหม?”
ลู่โจวพยักหน้า
“…ไม่ว่ามันเป็นวิธีการคำนวณแบบกระจายหรือแบบปกติ เราต้องการกลุ่มอาสาสมัครจำนวนมาก”
รัฐมนตรีฉินมองดูผู้อำนวยการหลี่ จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังกับลู่โจว
“…มันปลอดภัยใช่ไหม? ผมหมายถึงการทดลองจะส่งผลกระทบต่อสมองไหม?”
ลู่โจวส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่เลยครับ เอาจริงแล้วไมโครเคอร์เรนท์ที่ใช้กับสมองโดยอุปกรณ์นี้เล็กน้อยเทียบกับจำนวนข้อมูลที่สมองภายใต้เงื่อนไขปกติ คุณสามารถมองว่ามันเป็นวิธีการผ่อนคลาย…แน่นอนว่าสมองยังทำงานอยู่ มันไม่ใช่การแทนที่การนอนหลับ”
รัฐมนตรีใช้เวลาประมวลผลคำของลู่โจวอยู่สักพัก
เขาขมวดคิ้วและถามว่า “งั้นมันไม่มีผลข้างเคียงใช่ไหม?”
ลู่โจวพยักหน้า
“ใช่ครับ”
รัฐมนตรีฉินถามทันทีว่า “คุณต้องการคนมากแค่ไหน?”
ลู่โจวตอบ “ยิ่งมากยิ่งดีครับ มันไม่มีจำนวนที่ตายตัว”
“ยิ่งมากยิ่งดี” รัฐมนตรีฉินขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาถามว่า “หนึ่งกองทัพมากพอไหม?”
ลู่โจว “…?”
…………………………….