ตอนแรกลู่โจวคิดว่าเขาจะได้อาสาสมัครที่ยอดเยี่ยมจำนวน 100 คน
ดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีฉินเสนอให้เขาทั้งกองทหาร มันทำให้เขารู้สึกช็อก
ลู่โจวพูดว่า “หนึ่งกองทหารมากเกินไปครับ ผมไม่ได้มีเครื่องทดลองมากขนาดนั้น”
หนึ่งกองทัพมีจำนวนอย่างน้อย 1,000 คน และอาจมีมากถึง 2,000 คน
เขาต้องการอาสาสมัครจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น
รัฐมนตรีฉินพูดว่า “งั้นก็บอกตัวเลขมา ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณต้องการกี่คน?”
“200 คนน่าจะพอ” ลู่โจวตอบ ตอนแรกเขาจะพูดว่า 100 คน แต่เขาตัดสินใจเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าเผื่อไว้ก่อน
เมื่อรัฐมนตรีฉินได้ยินจำนวนตัวเลขเขารู้สึกโล่งอก เขายินดีที่จะเสียสละทั้งกองทหารหรือสองกองกำลังเพื่อให้ได้เทคโนโลยีนี้มา
แต่ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์นี้มากเท่าไหร่ มันก็จะเก็บเป็นความลับได้ยากมากขึ้นเท่านั้น
รัฐมนตรีฉินพูดว่า “ไม่มีปัญหา ตราบใดที่เราได้เทคโนโลยีนี้มาเราก็หาคนมาได้!”
มันเป็นการเสียสละที่คุ้มค่า เนื่องจากศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ไม่มีขีดจำกัด
เมื่อเทคโนโลยีนี้พัฒนาไปอีกขึ้น มันจะสามารถจำลองความจริงเต็มรูปแบบได้ ในตอนนั้น นอกจากมันใช้ฝึกทหารอากาศได้ มันก็สามารถใช้ฝึกทหารแบบทั่วไปได้เช่นกัน ทุกอย่างสามารถทำได้ในโลกเสมือน
กองทัพปลดแอกประชาชนจะสามารถประหยัดงบด้านการทหารปีละหลายสิบล้าน
งบประมาณพวกนี้จะได้ถูกใช้กับภาคส่วนที่จำเป็น
อย่างเช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์หรือสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านป้องกันราชอาณาจักร
มันไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยว่าเทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนทั้งกองทัพและกองกำลังป้องกันราชอาณาจักรของประเทศได้
เทคโนโลยีนี้คุ้มค่า ไม่ว่าราคาที่ต้องจ่ายสูงแค่ไหน
…
หลังจากได้ลองเครื่องทดลอง ผู้อำนวยการหลี่และรัฐมนตรีฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ต่ออีกนาน
ก่อนที่จะกลับไป รัฐมนตรีฉินบอกลู่โจวว่าทีมอาสาสมัครจะถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ และลู่โจวไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นนอกจากการวิจัย
ทีมทหารความจริงเสมือนจึงถูกสร้างขึ้น
เนื่องจากการประยุกต์ใช้กับด้านการทหาร เทคโนโลยีนี้ได้มีความหมายและสำคัญมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ลู่โจวค่อนข้างพึงพอใจกับแผนของเฉินยู่ซาน หลังจากเขาได้วีซ่าและที่พักอาศัยของลูเมียร์ทำให้โปรเจกต์นี้ได้เดินหน้าเต็มรูปแบบ
ก่อนที่เขาเริ่มสร้างระบบทั้งหมด เขาต้องคิดเค้าร่างของเส้นทางเทคนิคขึ้นมาก่อนแล้วสร้างเฟรมเวิร์กอัลกอริทึม สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องทำคือเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากอาสาสมัคร
ในวันที่สามที่ศาสตราจารย์มาถึงจีน อยู่ดีๆ มีสายโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิดโทรหาลู่โจว
“ฮัลโหล? “
“สวัสดี…ผมซารอท ผมไม่คิดว่าเบอร์นี้ยังใช้ได้อยู่”
ซารอท?
ลู่โจวยิ้มแล้วพูดว่า
“ผมไม่ได้เปลี่ยนเบอร์ครับ…เราก็ไม่ได้คุยกันนานเลย ทำไมจู่ๆ คุณติดต่อผมมาล่ะ?”
ซารอทกระแอมและพูดอย่างประหม่า “ผมไม่อยากรบกวนคุณ คือว่า…เพื่อนผมน่าจะหายตัวไป คุณช่วยผมได้ไหม?”
ลู่โจวพูดทวน “…หายไป? ที่ไหนครับ?”
“เซี่ยงไฮ้”
ลู่โจวพูดด้วยท่าทีเหลือเชื่อ “…คุณแน่ใจนะว่าเขาหายไป?”
“ใช่ครับ พวกเราไปงานประชุมวิชาการที่เซี่ยงไฮ้ก่อนที่เขาจะหายตัวไป…เขายืนอยู่ที่ถนนตอนที่ผมไปซื้อกาแฟ พอผมกลับมาเขาก็หายไป ผมพยายามโทรหาเขาแล้วก็ส่งอีเมลด้วย แต่เขาไม่ได้ตอบเลย”
ซารอทรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเล่าค่อนข้างประหลาด
ลู่โจวเป็นคนเดียวในจีนที่เขารู้จัก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาโทรหาลู่โจว
ลู่โจวดื่มกาแฟและถามว่า “เขาชื่ออะไรครับ?”
“เขาเป็นคนสวิตเซอร์แลนด์ เขาชื่อว่าลูเมียร์…”
“โถ่!”
ซารอทได้ยินเสียงจากปลายสายและนิ่งไปสักพัก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ลู่โจวเช็ดกาแฟที่ปากและตอบว่า
“ไม่มีอะไรครับ…ผมจะให้คนของผมตามหาเขา”
ซารอทพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณครับ”
ลู่โจวยิ้มแล้วพยักหน้า
“ไม่เป็นไรครับ มาเยี่ยมผมที่จินหลิงบ้างนะ”
ซารอทตอบ “ได้เลยครับ!”
…
ณ สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง
ลู่โจวนั่งอยู่ในห้องแล็บความจริงเสมือนชั่วคราว เขาไปคุยกับศาสตราจารย์ลูเมียร์ที่ออฟฟิศของเขา
“ผมรู้ว่าคุณตื่นเต้น แต่อย่างน้อยคุณก็ช่วยตอบอีเมลเพื่อนคุณหน่อย”
“เพื่อน? อ่อ ผมลืมไปเลย ไว้ผมติดต่อเขาไปทีหลัง ตอนนี้ผมกำลังเขียนจดหมายลาออก…คุณรู้ไหมว่าผมเคยทำงานที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เครือข่ายเส้นประสาทสวิตเซอร์แลนด์ และผู้อำนวยการของสถาบันมองผมดีมาก เขาพูดในหลายโอกาสว่าเขาตั้งใจจะเลื่อนขั้นให้ผมเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ ตอนนี้ผมกำลังลาออกกะทันหัน ผมต้องให้เหตุผลกับเขา”
“ลาออก?” ลู่โจวมีสีหน้าประหลาดใจ “ผม…ลาออกให้คุณแล้ว”
“…ลาออกให้แล้ว?”
ลูเมียร์นิ่งไป แล้วเขาหยุดพิมพ์คีย์บอร์ด
ลู่โจวพยักหน้าและพูดว่า “ผมใช้อีเมลคุณส่งอีเมลไปที่แผนกของศูนย์วิจัย…พวกเขาตกลงอย่างรวดเร็ว”
ทุกอย่างนิ่งเงียบสนิท
ผ่านไปสิบวินาที ลูเมียร์ถามขึ้นว่า “นักวิชาการไอเนสพูดว่าอย่างไรบ้าง?”
ลูเมียร์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ตาของเขาแดงก่ำเหมือนเต็มไปด้วยอารมณ์ปะทุ…
“ไอเนส? ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร”
ลู่โจวส่ายหน้าและพูดว่า “ผมเดาว่าเขาเป็นหัวหน้าแผนกทรัพยากรมนุษย์ ผมจำได้ว่าเขาตอบสั้นๆ แค่ไม่กี่ประโยค”
ลูเมียร์งงจังงัง
เมื่อยืนหนึ่งอยู่สักพัก จู่ๆ ลูเมียร์นั่งลงจมลงที่เก้าอี้ของตัวเอง
“… ไม่เป็นไรครับ”
เขาโบกมือให้และจับเมาส์
เขาเอาจดหมายลาออกสองพันคำใส่ถังขยะแล้วเปิดร่างโครงการวิจัยที่ยังไม่เสร็จซึ่งเขาวางแผนจะทำต่อในวันพรุ่งนี้
ถึงแม้ว่าลู่โจวรู้สึกกังวลเล็กน้อยกับสภาพจิตใจของเขา เมื่อเห็นว่าลูเมียร์ยังมีอารมณ์ทำงานในโปรเจกต์นี้ ลู่โจวรู้สึกว่าเขาควรปลอบลูเมียร์ไว้คนเดียว…
ลู่โจวตบไหล่เขาและพูดว่า “อย่าลืมตอบกลับเพื่อนคุณด้วยนะครับ”
จากนั้นลู่โจวเดินออกจากออฟฟิศไป
…………………………