ณ มหาวิทยาลัยจินหลิง
ในห้องพักภาควิชาคณิตศาสตร์
ตวนซื่อฉีเพิ่งจะเรียนจบคลาสไป เขาเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเว่ยป๋อ
เขาเป็นน้องใหม่ที่เข้าร่วมภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจินในฤดูร้อนปีนี้และได้ท็อปสองร้อยในการสอบเข้าวิทยาลัยในรัฐ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาเป็นนักเรียนที่เก่งมากๆ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นเลยสักนิดเมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่แผนกที่นี่แล้ว
นี่ยังไม่พูดถึงหลี่โม่ที่ได้รับเหรียญทอง IMO ด้วยคะแนนเต็มด้วยซ้ำ
หลี่โม่นั้นไปไกลกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มของเขาหลายกิโล ซึ่งทำให้หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมเขาไม่ไปมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสุ่ยมู่หรือมหาวิทยาลัยเหยียนแทน
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาพักของเขาใกล้จะหมดแล้ว เขากำลังจะวางโทรศัพท์และเรียนต่อ จู่ๆ ก็มีข่าวพาดหัวในโทรศัพท์ของเขาจนสะดุดตา
“อุปกรณ์ต่อประสานระบบประสาทภาพเสมือนจริง?”
“บ้าไปแล้ว! จริงเหรอเนี่ย?”
มันได้รับความสนใจจากทุกคนในหอพัก
แม้แต่หลี่โม่ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ และเช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกสามคนในหอพักก็ต่างก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดเว่ยป๋อ
ไม่นานพวกเขาเห็นพาดหัวข่าวที่น่าตกใจ
“บ้าไปแล้วเหรอเนี่ย! นี่คือ…ความเป็นจริงเสมือนที่นำความคิดทั้งหมดเข้าสู่โลกเสมือนจริงเหรอ?”
“มันบ้ามากๆ…”
การสนทนาในหอพักได้เริ่มขึ้น
“การใช้การกระตุ้นด้วยกระแสไมโครของเส้นประสาทเพื่อป้อนสัญญาณไฟฟ้าไปยังตัวแยกสัญญาณประสาท…” หยางชวงอ่านอย่างเงียบๆ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เกินไปแล้ว นี่ใช้ไฟฟ้ากับสมองเหรอ? มันจะไม่ทำให้สมองเสื่อมเหรอ?”
หลี่โม่ส่ายหัว
“ไม่มีทาง โปรเจกต์นี้นำโดยนักวิชาการลู่! หากมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยร้ายแรง พวกเขาจะไม่ปล่อยเทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน”
ตวนซื่อฉีมองมาที่เขาและพูดว่า “ทำตัวอย่างกับเป็นแฟนคลับ…”
“ใช่สิ!” หลี่โม่ยิ้มและเกาหลังหัวตัวเองเบาๆ “ก็ท่านเทพลู่เป็นไอดอลของฉันนี่นา”
เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนมองหน้ากันและยิ้มอย่างช้าๆ
แม้ว่าตวนซื่อฉีจะยิ้มอยู่ แต่เขาข้างในเขากำลังทำหน้าแหยอยู่
บางทีพวกอัจฉริยะอาจมีสกรูสองสามตัวหลวมก็ได้มั้ง
เขานึกไม่ออกว่าการบูชาใครสักคนในระดับนั้นเป็นอย่างไร
ไม่ว่าเขาจะให้เกียรติใครสักเพียงใด อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะแค่กดถูกใจพวกเขาในโพสต์เว่ยป๋อเท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเห็นคนหนึ่งๆ ที่จะชื่นชมใครสักคนในชีวิตจริง
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นหลักคือปัญหาทางของภาพเสมือนจริงเทคโนโลยี
เชื่อมจิตกับเครื่องโดยตรง
สัมผัสโลกแห่งความจริงเสมือนผ่านความฝัน…
มันเป็นไปได้จริงเหรอๆ ?
แม้ว่าเขาจะอ่านบทความข่าวและแถลงการณ์แล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
ตวนซื่อฉีสังเกตเห็นในหน้าสุดท้ายของหนึ่งในบทความได้กล่าวว่าสตาร์สกายเทคโนโลยีกำลังรับสมัครอาสาสมัครทดสอบ
พอได้เห็นข่าวนี้เขาก็เริ่มครุ่นคิด
หรือบางที…
นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดี
มันเจ๋งจริงๆ อย่างนั้นแน่นะ?
หรือฉันควรไปลองสมัครเป็นอาสาสมัครและด้วยตัวเอง…
…
การพักตัวเยือกแข็งไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนส่วนใหญ่ เทคโนโลยีภาพจำลองเสมือนจริงของส่วนต่อประสานประสาทมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่
นิยายออนไลน์ อนิเมะ เช่น ซอร์ด อาร์ต ออนไลน์ หรือบล็อกบัสเตอร์นิยายวิทยาศาสตร์ฮอลลีวูด เช่น ‘สงครามเกมคนอัจฉริยะ’ ทำให้เห็นได้ว่าเทคโนโลยีประเภทนี้อยู่ในความบันเทิงกระแสหลักมานานหลายทศวรรษแล้ว ประชาชนได้เชื่อมโยงวีอาร์เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ผู้คนเริ่มจินตนาการว่าการอยู่ในโลกเสมือนจริงจะเป็นอย่างไร
และเมื่อเทคโนโลยีมาถึงแล้ว พวกเขาจะไม่คลั่งไคล้ได้ไง?
หลังจากที่สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงและสตาร์สกายเทคโนโลยีได้ประกาศความคืบหน้าการวิจัยที่สำคัญของพวกเขาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเสมือนจริงของอินเทอร์เฟซประสาทเทียม เช่นเดียวกับการเปิดตัววิดีโอสาธิต ฟอรัมอินเทอร์เน็ตก็ได้เกิดขึ้นราวกับระเบิด
[นี่มันเป็นข้อตกลงจริงเหรอๆ ? มันไม่ใช่แบบที่คุณสวมจอแสดงผลบนหัวของคุณเหรอ?]
[มันน่าจะเป็นข่าวปลอม! เป็นไปไม่ได้!]
[ไม่หรอกที่นี่คือสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศเลยนะ! ที่สำคัญ ศาสตราจารย์ลู่เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัย และเขาเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงอีกด้วย!]
[นี่มันบ้าไปแล้ว!]
[หมายความว่าฉันสามารถเดินทางไปทั่วโลกในขณะที่อยู่ที่บ้านอย่างสบายๆ เหรอ?]
[คุณจะใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อเดินทางไปทั่วโลกเหรอ?]
[แล้วจะให้ทำอะไรล่ะ?]
[ก็หาอะไรทำสนุกๆ ไง…ฮ่าๆๆ]
นอกจากเหล่าคนที่มองโลกในแง่ดีแล้ว หลายคนก็แสดงความเห็นในแง่ร้ายซะส่วนใหญ่
มีหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายทางสังคมวิทยาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้ ผู้คนจำนวนมากขึ้นแสดงความสงสัยว่าเทคโนโลยีนี้มีจริงหรือไม่
ท้ายที่สุดแล้วความคิดที่จะเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากภาพยนตร์ แม้ว่าสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงจะมีชื่อเสียง แต่ก็เพราะการฉ้อโกงทางวิชาการบ่อยครั้งที่มาจากนักวิจัยชาวจีนก็ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยเป็นธรรมดา
แต่คนเหล่านั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย
เพราะผู้คนต่างพากันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผู้รับผิดชอบโปรเจกต์ภาพจำลองเสมือนจริงนั้นคือศาสตราจารย์ลู่เอง!
นี่เหมือนการเติมน้ำมันลงในกองไฟ การสนทนาเป็นไปอย่างดุเดือด
ศาสตราจารย์ลู่เป็นใบหน้าของนักวิชาการจีน บางคนอาจสงสัยบ้างในตอนแรกๆ และคิดว่าอาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือผลการวิจัยที่เกินจริงเกินไป แต่เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อศาสตราจารย์ลู่แล้ว ความสงสัยทั้งหมดก็หายไปพริบตา
ผู้คนนับล้านทั่วโลกได้ส่งใบสมัครภายในหนึ่งชั่วโมง หลังจากสตาร์สกายเทคโนโลยีได้เผยแพร่แบบฟอร์มการลงทะเบียนอาสาสมัครออกไปไม่นาน
อายุขั้นต่ำคือสิบแปดปีถึงหกสิบปี ผู้คนจากทุกกลุ่มอายุได้ทำการลงทะเบียนเพื่อทำการทดสอบ
สตาร์สกายเทคโนโลยีได้ระบุอย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ว่าจะไม่มีค่าเดินทาง ไม่มีเงินเดือน แต่จะจัดหาแค่อาหารและที่พักให้เท่านั้น แม้ว่าจะมีจุดให้บริการเพียงแค่หนึ่งร้อยแห่ง แต่ก็ไม่ได้หยุดความกระตือรือร้นของผู้คนสำหรับเทคโนโลยีนี้
พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องเงินเลยสักนิด
เพราะทุกคนต้องการสัมผัสประสบการณ์การดำดิ่งสู่โลกเสมือนจริง
พวกเขาต้องการเป็นพยานคนแรกของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้…
………………………