เนื่องจากเทคโนโลยีส่วนต่อประสาทเทียมการจำลองภาพเสมือนจริงของสตาร์สกายเทคโนโลยีและสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงได้เป็นศูนย์กลางของความสนใจทั่วโลก
ในฐานะที่ลู่โจวเป็นหัวหน้าของทั้งสตาร์สกายเทคโนโลยีและสถาบันการศึกษาชั้นสูง เขาจึงควรยืนต่อหน้ากล้องในงานแถลงข่าวเพื่อบอกผู้คนเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่นี้
แต่แทนที่จะเขาจะทำอย่างนั้น ตอนนี้เขากลับยืนเงียบๆ ในวอร์ดแทน
วอร์ดนี้มีชื่อพิเศษ มันถูกเรียกว่า ‘วอร์ดพักตัวเยือกแข็ง’
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายจากทั่วทุกมุมโลกถูกย้ายมาที่นี่
ค่าใช้จ่ายของเครื่องจำศีลค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการอยู่ในห้องไอซียู
นอกจากสารสกัดแบคทีเรียบนดาวอังคารที่มีราคาแพงก็มีค่าใช้จ่ายในการทำให้อุปกรณ์ทำงานที่สวนทาง
แน่นอนว่ามันราคาถูกเมื่อเทียบกับการรักษารูปแบบอื่น
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวซึ่งมาเยี่ยมผู้ป่วย
ผู้หญิงคนนั้นดูจะอายุสี่สิบปลายๆ และเธอจับมือกับเด็กชายอายุห้าขวบเอาไว้ น้ำตาของเธอค่อยไหลๆ ออกมาจากหางตาอย่างช้าๆ
คนที่อยู่ภายใต้การแช่แข็งอาจจะเป็นสามีของเธอ และเด็กที่ยืนอยู่ข้างเธอก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่เขายืนอยู่ที่มองอยู่อย่างเงียบๆ
ผู้หญิงคนนั้นสังเกตเห็นลู่โจวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่นานเธอก็ตกใจเมื่อจำเขาได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดินไปหาเขาพร้อมกับอุ้มลูกชายของเธอและถามอย่างระมัดระวังว่า “สวัสดีค่ะ คุณใช่…นักวิชาการลู่หรือเปล่าคะ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่โจวก็พยักหน้า
“ใช่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ…”
ลู่โจวมองไปที่ผู้หญิงคนนี้และส่ายหัว
“ผมไม่ใช่หมอหรอก ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไร”
“หมอบอกเราว่าคุณช่วยเขาเอาไว้…คุณช่วยเรา”
ลู่โจวมองมาที่เธอและรอให้เธอพูดต่อ
“เรา…ไม่มีเงินจริงๆ” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าขมขื่น เธอกล่าวขณะหวนคิดถึงอดีตว่า “เราขายบ้านและใช้เงินออมทั้งหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลของสามี และตอนนี้เราแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนก่อน สามีบอกให้ฉันหยุดการรักษาและเก็บเงินไว้เพื่อให้ลูกชายของเรา แต่…”
เสียงของผู้หญิงคนนั้นสั่นเมื่อเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจ
“ยังไงก็ขอบคุณคุณ…ขอบคุณนะคะ!
“ฉันแค่มีความสุขที่เขายังมีชีวิตอยู่
“และตอนนี้ฉันกำลังจะพาลูกชายของฉันกลับไปที่บ้านเกิด ดังนั้นนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่อาจจะได้เห็นเขาแล้ว หมอบอกว่าโรงพยาบาลในอนาคตสามารถรักษาเขาได้อย่างแน่นอน และฉันหวังว่ามันจะเป็นจริง…ฉันแค่ต้องการให้เขาแข็งแรง สูบบุหรี่น้อยลง และกินอาหารดีๆ เพื่อสุขภาพตัวเอง…ฉันหวังว่าเขาจะไม่คิดถึงฉันจนเกินไป…”
ผู้หญิงคนนั้นตระหนักได้ว่าลู่โจวอาจจะไม่สนใจเธอเท่าไหร่ เธอดูเขินอายเมื่อพูดกับลูกชาย
“มาเถอะ ลูกควรมาขอบคุณฮีโร่คนนี้…”
เด็กน้อยกะพริบตาขณะที่เขาจ้องไปที่ลู่โจว เขาพูดด้วยน้ำเสียงขี้กลัว
“ขอบคุณครับ”
ลู่โจวยิ้มและลูบหัวของเด็กน้อย
“ด้วยความยินดี เด็กน้อย เราต้องขอบคุณแม่มากกว่านะ ดูแลตัวเองดีๆ ”
เด็กมองลู่โจวและพูดว่า “แล้วพ่อล่ะครับ? เขากำลังจะตื่นแล้วใช่มั้ยครับ?”
“แน่นอน”
เด็กพยักหน้าขณะที่ลู่โจวมองให้กำลังใจเขา
แม่และลูกได้บอกลาเขา และจากไป
แต่เมื่อแม่เดินไปที่ประตู จู่ๆ เธอก็หยุดและหันกลับมามอง เธอโค้งคำนับอย่างจริงใจให้ลู่โจวก่อนจะเดินจากไป
ในทางเดินระหว่างแม่และลูกชายได้พูดคุยกัน
“แม่…ผู้ชายคนนั้นเป็นใครครับ?”
“เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์น่ะ”
“นักวิทยาศาสตร์? ผมอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์…”
บทสนทนาจางหายไปเมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงและเงียบลง
ลู่โจวถอนหายใจ เขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เขาไม่ชอบการอยู่ในโรงพยาบาลเท่าไหร่
มันมีความรู้ความรู้เศร้าลอยอยู่เต็มไปหมด
ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง
เขามองไปที่หมอและพูด
“ผลการทดสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่ครับ…”
ลู่โจวรับรายงานทางการแพทย์จากแพทย์และมองดูมัน เขาดูผิดหวัง
แม้ว่าเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหวังให้คนในสภาวะหลับใหลเชื่อมต่อกับโลกเสมือนจริงผ่านคลื่นสมอง ตอนนี้หัวใจของเขาไหลลงไปสู่ก้นบึ้งทันทีเมื่อเขาอ่านรายงาน
วิธีเดียวคือการปลุกสมองครึ่งหนึ่ง
แต่มันเป็นสิ่งที่อันตราย
หมอมองลู่โจวและถามว่า “คุณต้องการให้ผมอธิบายให้คุณฟังไหม?”
“ไม่จำเป็น…” ลู่โจวสูดหายใจเข้าลึกๆ และพับรายงานทางการแพทย์ จากนั้นเขาก็ยัดมันลงในกระเป๋าและพูดว่า “ผมรู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องห่วง” แพทย์ยิ้มและพูดว่า “ผมควรจะขอบคุณคุณมากกว่า เพราะเทคโนโลยีการพักตัวเยือกแข็งและส่วนต่อประสาทเทียมได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้”
“เหรอครับ?”
ลู่โจวละสายตาจากหมอแล้วมองไปที่ตู้พักตัว
ราวกับมันแข็งไปทุกอย่าง ไม่เพียงแต่น้ำค้างบนกระจกห้องโดยสาร แต่ยังรวมถึงเวลาด้วย
หมอดูหดหู่เล็กน้อยในขณะที่เขาถอนหายใจ
“อยากอยู่เงียบๆ ไหมครับ?”
“แน่นอน…”
หมอพยักหน้าและออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร
ตอนนี้ลู่โจวอยู่คนเดียวในวอร์ด
เขามองไปที่ตู้และทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น
“ผมอยู่นี่แล้ว
“โปรเจกต์ต่อไปคือการรวมกันของพีชคณิตและเรขาคณิต…คิดว่าฉันมีไอเดียแล้วล่ะ”
ลู่โจวกลืนน้ำลายและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ส่ายหัวและยิ้ม
“ช่างมันเถอะ…
“แม้ว่าผมจะบอกความคิดของผมให้คุณฟัง แต่คุณก็คงไม่ได้ยินอะไร
“ผมจะบันทึกไว้เพื่ออนาคต
“และเมื่อคุณตื่นขึ้น คุณจะได้อ่านหนังสือของผมได้ คุณเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดของผม ดังนั้นผมแน่ใจว่าคุณจะสามารถเข้าใจบทความนี้โดยที่ผมไม่ต้องอธิบายอะไร”
ลู่โจวอยู่ในวอร์ดจนกระทั่งพยาบาลมาตรวจดูการทำงานของห้องพักตัวเป็นประจำ ไม่นานลู่โจวก็เดินจากไป
…
เขานั่งอยู่ในรถของหวังเผิงหลังจากที่ลู่โจวออกจากโรงพยาบาล
หวังเผิงโยนบุหรี่ทิ้งนอกตัวรถก่อนที่จะสตาร์ทรถ
“ไปไหนครับ?”
“สนามบิน”
“กลับไปที่จินหลิงเหรอครับ?”
“ใช่”
เดิมทีลู่โจววางแผนจะอยู่ปักกิ่งต่ออีกสองสามวัน แต่เขาไม่มีอารมณ์จะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าของเขาอีกแล้ว และตอนนี้เขาต้องการกลับไปพักผ่อน
เพื่อนๆ ของเขารู้ว่าเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ดังนั้นพวกเขาจะไม่โทษอะไรที่ไม่ได้ไปหา
รถเริ่มขับออกไปท่ามกลางความเงียบงันของทั้งคู่
หวังเผิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่น่าเบื่อในขณะที่เขาพยายามจะสนทนา
“มีคนพูดถึงคุณทางออนไลน์เกี่ยวกับเทคโนโลยีการจำลองภาพเสมือนจริง”
“เหรอ”
“ไม่สนใจเหรอครับ?”
“ใช่ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็เริ่มดังขึ้น
ลู่โจวหยิบโทรศัพท์ออกมา และเมื่อเขาเห็นหมายเลขปลายสายเขาก็ต้องขมวดคิ้ว
ปกติเขาจะไม่รังเกียจที่จะคุยกับคนนี้ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะคุยด้วย เขาเมินสายนี้เมื่อมาถึงโรงพยาบาลครั้งแรก แต่ตอนนี้เขาโทรมาอีกครั้ง
หวังเผิงเห็นสายที่ถูกลู่โจวปัดออกอย่างรวดเร็ว
เขามองไปที่กระจกมองหลังและถามว่า “จะไม่รับเหรอครับ?”
“ไม่…” ลู่โจวโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วพูดว่า “ไม่ใช่สายสำคัญ”
……………………