ลู่โจวคิดว่าตึกรูปทรงนาฬิกาทรายขนาดใหญ่แบบนี้คงมีหลายชั้น แต่เขาก็ต้องพบว่าพวกเขาใช้พื้นที่สิ้นเปลือง
ชั้นแต่ละชั้นภายในตึกมีเพดานสูงเสียดฟ้า พื้นที่แนวตั้งแบบนี้ทำให้ฮอลล์ทั้งฮอลล์ดูน่าเกรงขามและมีอำนาจ
ราวกับว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องประชุมแต่เป็นศาลมากกว่า
โต๊ะประชุมที่สูงกว่าปกติให้ความรู้สึกแบบนั้น
โต๊ะประชุมมีรูปทรงเหมือนเกือกม้า ซึ่งครอบคลุมห้องทั้งหมด
ที่นั่งด้านล่างสุดคือสมาชิกทั่วไปของรัฐสภา ส่วนที่นั่งที่สูงกว่าคือคนที่มีสถานะสูงกว่า อย่างเช่น รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ประธานรัฐสภา และแม้แต่ผู้ควบคุมเอ็มไพร์ กงสุล
เป็นอารยธรรมที่ประหลาดจริงๆ
แม้ว่าเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าสังคมนี้เป็นสังคมแห่งทุนนิยม แต่โครงสร้างทางการเมืองดูไม่มีประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย แต่มันดูเหมือนฝังอยู่ในศาสนามากกว่า
ลู่โจวพิจารณาแล้วว่ามันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการหยั่งรู้ด้านปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ของชาวคาลาน
แต่น่าเสียดายที่ลู่โจวไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ เขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องที่สำคัญกว่าแทน…
การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้น
ลู่โจวยืนอยู่ริมผนังในห้องโถงกับกัปตันอินซ์ กลมกลืนกันเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคน ลู่โจวรอเงียบๆ นานห้านาที เขาจับจ้องไปที่โต๊ะประชุม ในที่สุดกงสุลที่นั่งอยู่กลางโต๊ะประชุมมองไปที่ศาสตราจารย์เลนและพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“คุณคือศาสตราจารย์เลนใช่ไหม”
ศาสตราจารย์เลนพยักหน้าและพูดอย่างสุภาพ
“ครับท่าน”
“มันมีข่าวลือที่เกิดขึ้นในริงเวิร์ลเกี่ยวกับสิ่งที่มีชื่อว่าออราเคิล จากการสอบสวนของหน่วยข่าวกรอง แหล่งข่าวทั้งหมดชี้มาที่คุณ”
กงสุลคาลาเนียนที่มีอำนาจพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่มีพลัง “ผมอยากจะรู้ว่าทำไมคุณถึงสร้างปัญหามากมายแก่เอ็มไพร์”
“รัฐสภาและประชาชนของเอ็มไพร์ต้องการคำอธิบาย”
ศาสตราจารย์เลนพยายามเก็บอารมณ์และพูดอย่างใจเย็นขณะเผชิญหน้ากับสายตากดขี่ของรัฐสภา
“ท่านครับ ผมจะต้องแก้ไขคำพูดของท่าน”
“ก่อนอื่นเลย ออราเคิลไม่ใช่ข่าวลือ อารยธรรมของเรากำลังเผชิญวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างที่สอง ในฐานะนักวิชาการ ผมต้องรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเอง สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง”
ที่ประชุมเกิดความวุ่นวายขึ้น
สมาชิกสภานิติบัญญัติส่วนใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่ามองหน้าและกระซิบกระซาบกัน และหัวเราะขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว
วิกฤตการณ์เหรอ
ถ้านี่เป็นเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว คำพูดนี้ก็คงมีผลกระทบมากกว่านี้ ในตอนนั้นโลกนี้เต็มไปด้วยพวกดูเมอร์
แต่ตั้งแต่ริงเวิร์ลสมบูรณ์ เอ็มไพร์ก็มีแต่ความรุ่งเรือง ดูจากอัตราการเพิ่มของประชากร พวกเขาก็สามารถคงความรุ่งโรจน์มาได้หลายร้อนปี
พวกเขาไม่เคยเจอกับภัยอันตรายจากวิกฤตการณ์ใดๆ
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าหัวเราะที่มีคนพูดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา
กงสุลมีรอยยิ้มที่ขี้เล่น เขาแสดงความดูถูกและเยาะเย้ยอยู่ในดวงตาขณะที่พูด
“บอกผมมา ศาสตราจารย์เลน ปัญหาคืออะไรกันแน่ มันคือทฤษฎีมนุษย์ต่างดาวของคุณเหรอ”
“ไม่”
ศาสตราจารย์เลนแสดงสีหน้าไม่พอใจต่อกงสุลและเริ่มอธิบาย
“ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าวิกฤตการณ์จะมาจากพวกเขาจริงๆ หรือเปล่า แต่มันมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา”
โต๊ะการประชุมเกิดความวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม
นักวิชาการมองรอบๆ โต๊ะและพูด
“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือจักรวาลนี้ไม่ใช่มีแค่พวกเรา แม้ว่าจะไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตมาในระยะทาง 500 ปีแสง หรือแม้แต่ 50,000 ปีแสงก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตภายนอกเลย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าเราคือสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกในจักรวาลนี้”
กงสุลมองศาสตราจารย์เลนและพูด
“ทฤษฎีนั้นมันโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน และผมก็ไม่ได้สนใจที่จะถกเถียงกับคุณเรื่องนั้นที่นี่ ถ้าเกิดว่าพวกเขามีอยู่จริง ระยะห่างทำให้เราไม่มีทางที่จะสื่อสารกับพวกเขาได้ แล้วมันจะสำคัญกับเราตรงไหนล่ะ”
คาลานไม่ใช่อารยธรรมที่อยากเอาชนะโลก
แทนที่จะขยายอาณาเขตของเอ็มไพร์ พวกเขามีแรงกระตุ้นที่จะพัฒนาความสงบสุขและความสามัคคีของประชาชนมากกว่า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถสร้างโปรเจกต์การก่อสร้างทางวิศวกรที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นก็คือริงเวิร์ล
มนุษย์ต่างดาวเหรอ
แม้ว่าในช่วงต้นของยุคอวกาศ พวกเขาอยากสื่อสารกับสายพันธุ์ที่อยู่นอกดาวเคราะห์ แต่ความคิดนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่ยุคอาณานิคมอวกาศตอนนั้น
ศาสตราจารย์เลนพยักหน้าและพูดกับกงสุล
“ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม ความสันโดษจึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นปีแสง…แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเขาติดต่อเรา ทางเราต่างหากที่ติดต่อพวกเขา”
ความโกลาหลในห้องหายไป
ราวกับว่าใครยิงปืน
ร่องรอยของความประหลาดใจปรากฏอยู่ในดวงตาของกงสุล กงสุลมองศาสตราจารย์เลนและพูดขึ้น
“หลักฐานอยู่ไหน”
“ผมเพิ่งตีพิมพ์การค้นพบของผมลงในกระดาษเมื่อ 127 วันที่แล้ว แต่กระดาษเหล่านั้นคือสาเหตุที่ชีวิตของผมกำลังตกอยู่ในอันตราย…ถ้าไม่ได้กัปตันอินซ์และทีมของเขา ผมก็คงโดนผู้รุกรานจับตัวไปแล้ว”
กัปตันอินซ์ที่ยืนอยู่ในห้องประชุมด้วย พยักหน้าและพูดอย่างสุภาพ
“ด้วยความยินดี ศาสตราจารย์เลน ทางเราจะปกป้องสิทธิของคุณ ไม่ว่าทางรัฐสภาจะพบว่าคุณผิดหรือไม่ก็ตาม คุณก็ยังมีสิทธิ์”
ศาสตราจารย์เลนพยักหน้าแสดงความขอบคุณ
เขามองไปรอบๆ โต๊ะประชุมและพูด
“การที่จะทำให้เราได้เข้าใจ ผมจะนำเสนองานวิจัยอีกครั้ง”
เขาเปิดกระเป๋าเอกสารและนำปริซึมขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา
ตอนที่เขาค่อยๆ กดปริซึม ปริซึมเริ่มเปล่งแสงสีฟ้าออกมา จู่ๆ ภาพฉายปรากฏขึ้นในอากาศ
มันคือภาพฉายโฮโลแกรม
ลู่โจวรู้สึกทึ่งเล็กน้อย
มันคืออินเตอร์เฟสที่เห็นด้วยตาเปล่าและอินเตอร์เฟสสัมผัสได้เหรอ
นั่นมันเป็นไปได้ยังไง?
เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมือง
นอกจากลู่โจวแล้ว ทุกคนในสภาก็ไม่มีใครประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นเลย พวกเขามองจอโฮโลแกรมเงียบๆ และรอให้ศาสตราจารย์เลนพูดต่อ
“…เราต่างก็รู้ว่ามีบางอย่างอยู่ที่ระหว่างหลุมดำและดาวนิวตรอน ซึ่งเรารู้จักมันในชื่อของควาร์กสตาร์ มันประกอบด้วยอนุภาคควาร์กที่ละเอียดและแปลกประหลาด ดวงดาวเหล่านี้มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว แต่มีน้ำหนักหลายร้อนล้านตัน”
ศาสตราจารย์เลนใช้ท่าทางมือและพูด
“การวิจัยเรื่องของควาร์กสตาร์อยู่ในขอบเขตความรู้ทางฟิสิกส์มาโดยตลอด มันสอนให้เราดึงข้อมูลที่เราต้องการมาจากหลุมดำ เมื่อนานมาแล้ว เราโชคดีมากพอที่สามารถค้นพบและวิเคราะห์ควาร์กสตาร์ที่อยู่ห่างออกไป 23,000 ปีแสง…
“และขนาดของมัน…มีขนาดประมาณปากกานี้”
ตอนที่ลู่โจวได้ยินแบบนั้น เขาอึ้งไป
ควาร์กสตาร์!
มันมีอยู่จริงๆ เหรอ
นักฟิสิกส์บนโลกคิดว่าควาร์กสตาร์เป็นดวงดาวในนิยายที่ไม่มีอยู่จริง…
ทฤษฎีการมีอยู่ของมันสามารถตามรอยกลับไปถึงข้อคาดการณ์ที่วิทเทนหยิบยกมาในปี 1980 ที่เขาบอกว่า ‘อนุภาคควาร์กที่ผิดปกติมากมายสามารถสร้างสถานะพื้นของระบบที่แข็งแกร่ง’ นอกจากนั้นก็ยังมีความคิดที่ว่ามันเกิดขึ้นในช่วงต้นของระยะเปลี่ยนผ่านของจักรวาลทำให้เกิดระเบิดซูเปอร์โนวาและการพุ่งชนของดาวนิวตรอนเป็นต้น
แต่เงื่อนไขในการเกิดควาร์กสตาร์มันรุนแรง ในทางทฤษฎี ถ้ามันสัมผัสกับอะไรก็ตาม มันจะระเบิดทันที และปล่อยพลังงานมากมายมหาศาลออกมา
ดังนั้น ไม่มีนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์หรือนักฟิสิกส์ของอนุภาคคนไหนที่เคยเจอหลักฐานในการมีอยู่ของมัน
การคาดเดาเดียวตอนนี้ก็คือรังสีคอสมิกที่มีพลังงานสูงมากๆ และอนุภาคพลังงานสูงกว่า 10^19 อิเล็กตรอนโวลต์อาจจะมาจากควาร์กสตาร์ แต่มันเหมือนนิวทริโน การจับรังสีคอสมิกเหล่านี้เป็นเรื่องยาก
แต่ศาสตราจารย์เลนกล่าวอ้างด้วยความมั่นใจว่าในจักรวาลมีควาร์กสตาร์ที่ใหญ่มากจนสามารถมองด้วยตาเปล่าได้
ถ้าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง วงการฟิสิกส์ทั้งวงการคงเป็นบ้าคลั่งแน่ๆ …
ลู่โจวอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
แต่ความตื่นเต้นของเขาไม่ได้นานขนาดนั้น
เพราะเขารู้ดีว่าถึงแม้ตัวเขาจะรู้ต้นกำเนิดของดาวที่พิเศษนี้ แต่ก็ไม่มีทางพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นได้อยู่ดี
แล้วเขาก็ไม่สามารถใช้วอยด์เมมโมรี่เป็นหลักฐานได้ด้วย
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกคาลาเนียนอยู่ที่ไหน หรือพวกเขามีตัวตนจริงหรือเปล่า
ลู่โจวเริ่มรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ถ้าฉันสามารถหาระยะพิกัดของควาร์กสตาร์หรือมีเทคโนโลยีที่สามารถหามันได้นะ
ฉันไม่คิดว่ามันเป็นข้อมูลที่อยู่ภายในวอยด์เมมโมรี่
มันอยู่ใกล้ฉันเหลือเกิน แต่ก็เหมือนห่างไกล…
“…สุภาพบุรุษทุกท่าน นี่คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ควาร์กสตาร์ที่ใหญ่มากจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า”
“เพื่ออะไร” สมาชิกรัฐสภากล่าว เขามองศาสตราจารย์เลนที่กำลังตื่นเต้นและพูดต่อ “แม้แต่เรือวิจัยที่ล้ำหน้าที่สุดในเอ็มไพร์ยังบินไม่ถึง 230,000 ปีแสงด้วยซ้ำ”
สมาชิกรัฐสภาพูดค่อนข้างเสียงดัง
ศาสตราจารย์เลนมองไปที่สมาชิกรัฐสภาและพูด
“ทฤษฎีใดก็ตามที่สร้างขึ้นมาอย่างไร้ประโยชน์ ถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราก็ไม่มีทางทำให้มันมีประโยชน์ขึ้นมาได้
“โดยพื้นฐานแล้ว ผมมีหน้าที่ทำงานวิจัยเรื่องควาร์กสตาร์ ในตอนแรกเราคิดว่ามันอยู่กับที่ แต่หลังจากที่เราวิเคราะห์คลื่นความโน้มถ่วงและพบรูปแบบที่น่าสนใจ นั่นก็แปลว่าควาร์กสตาร์ไม่ได้กำลังเคลื่อนไหว แต่มันกำลังมุ่งหน้าไปทางศูนย์กลางกาแล็กซีผ่านสะพานแสง”
กงสุลกระแอมและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่คือสภาเอ็มไพร์ เราไม่สนใจฟิสิกส์ทฤษฎี”
“…ประเด็นสำคัญก็คือการค้นพบจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เรารู้” ศาสตราจารย์เลนพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ควาร์กสตาร์เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์”
“อารยธรรมสรรสร้างมันขึ้นมา”
“อารยธรรมที่สร้างมันขึ้นมาอาจจะล้ำหน้ากว่าเราหลายเท่านัก”
……………………