หลังจากที่ลู่โจวออกจากพื้นที่ระบบ เขาลุกขึ้นจากโซฟา เขากำลังจะโทรหาศาสตราจารย์คาร์ลสันจากสถาบันเคลย์ แต่ได้รับข้อความในโทรศัพท์เสียก่อน
เสี่ยวไอ [เจ้านาย มีแขกมา (^∇^*)]
แขกเหรอ
ใครมาหาฉันในเวลาแบบนี้นะ
ลู่โจวสงสัยเล็กน้อย เขาตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า สวมเสื้อผ้า และเดินมาตรงประตูหน้า
ผู้อำนวยการหลี่ยืนอยู่ตรงถนน เขากำลังจะกดกริ่งแต่ประตูรั้วถูกเปิดเสียก่อน เผยให้เห็นทางเดินมาถึงประตูหน้า
ลู่โจวยืนอยู่ตรงหน้าประตูและพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ผู้อำนวยการหลี่ ลมอะไรหอบคุณมาที่นี่”
ผู้อำนวยการหลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ผมได้ยินว่าคุณกลับมาจากเซี่ยงไฮ้แล้ว ผมก็เลยมาเจอคุณ เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
ผู้อำนวยการหลี่เดินเข้าไปในบ้านของเขาด้วยท่าทีสบายๆ
ลู่โจวนิ่งไปชั่วครู่
ทำไมฉันรู้สึกว่าฉันควรเป็นฝ่ายชวนเขาเข้ามาด้านในนะ…
ลู่โจวเดินเข้าไปในครัวและหยิบถ้วยกาแฟและถ้วยชาเข้ามาในห้องนั่งเล่น เขานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามผู้อำนวยการหลี่
เขากำลังจะถามผู้อำนวยการหลี่ว่าเขาอุตส่าห์เดินทางมาจากปักกิ่งทำไม แต่ผู้อำนวยการหลี่พูดขึ้นก่อน
“ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมอยากจะถามคุณเรื่องเทคโนโลยีจดจำใบหน้าตรงประตูทางเข้า มันเคยทำผิดพลาดบ้างไหม”
ไม่ต้องห่วง เสี่ยวไอไม่ทำพลาดหรอก
ลู่โจวยิ้มแล้วพูด
“เทคโนโลยีใบหน้าเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างก้าวล้ำ แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”
เขาไม่เชื่อว่าชายคนนี้อุตส่าห์เดินทางมาถึงจินหลิงเพื่อทักทายเท่านั้น
ผู้อำนวยการหลี่ยิ้มและพูด “คุณกำลังยุ่งอยู่เหรอ”
“ไม่ยุ่ง หรืออาจจะยุ่ง ทำไมเหรอครับ”
จริงๆ แล้วตั้งแต่โปรเจกต์อนุภาคโจวจบไป ลู่โจวก็กำลังพักผ่อน เขาตั้งใจว่าจะไปพักผ่อนที่ฝรั่งเศสด้วยซ้ำ
แต่ตอนที่เขาเห็นยิ้มเจ้าเล่ห์ของผู้อำนวยการหลี่ เขาก็เริ่มลังเล
เขารู้จักชายคนนี้มาหลายปี เขาจึงรู้จักรอยยิ้มนั้นดี
เขารู้ว่าผู้อำนวยการหลี่ต้องการอะไรบางอย่างจากเขา
ผู้อำนวยการหลี่พูดตรงๆ
“ก็ได้ ผมจะพูดตรงๆ กับคุณ ก็คือว่าจำเมื่อสิ้นปีที่แล้วได้ไหม คุณบอกว่าคุณมีแผนการดีๆ คุณบอกผมได้หรือยังว่ามันคืออะไร”
ลู่โจว “…? “
เรื่องดีๆ เหรอ
เรื่องอะไร
ลู่โจวมองไปที่ผู้อำนวยการหลี่และพูดต่อ
“ผมพูดแบบนั้นเหรอ”
ผู้อำนวยการหลี่เป็นกังวล เขาจึงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ใช่ คุณจำไม่ได้เหรอ เมื่อสิ้นปีที่แล้วตอนที่ผมไปที่ ILHCRC คุณเป็นคนบอกผมเรื่องนี้ คุณยังบอกเองว่ามันเป็นความลับ”
ลู่โจวจำได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขายิ้มเจื่อน
เออใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
แต่อันที่จริงแล้วเขากำลังคิดถึงคะแนนทั่วไป 30,000 คะแนนที่เขาจะได้หลังภารกิจเสร็จสิ้น เขาสามารถใช้คะแนนทั่วไปในการซื้อของดีๆ เขาพูดแบบนั้นราวกับเป็นเรื่องตลก
ครั้งสุดท้ายที่เขาใช้คะแนนทั่วไปในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีภาพเสมือน แต่เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาควรซื้อหรือเปล่า
“อ๋อใช่ เรื่องนั้น ขอผมคิดก่อน ผมลืมเรื่องที่สำคัญขนาดนั้นไปได้อย่างไรกัน” ลู่โจวพูด ผู้อำนวยการหลี่ตกตะลึง ลู่โจวพูดต่อ “แต่งานวิจัยวิทยาศาสตร์ใช้เวลานาน ผมจะต้องเตรียมตัว แต่ผมจะบอกคุณอีกที”
ผู้อำนวยการหลี่สับสน เขาพูด “นักวิชาการลู่ นี่มันโหดร้ายไปหน่อยนะ อย่างน้อยก็บอกผมหน่อยไม่ได้เหรอว่ามันคืออะไร”
ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน
แต่ลู่โจวไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา
“เนื่องจากเหตุผลหลายๆ อย่าง ผมจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ รอก่อนนะ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณรอนานหรอก”
ลู่โจวเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เขายิ้มและพูด “เออใช่ ผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวฝรั่งเศส คุณช่วยจัดทริปให้ผมหน่อยได้ไหม”
ผู้อำนวยการหลี่ “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นลู่โจวขอตรงไปตรงมาขนาดนี้…
…
เดือนกุมภาพันธ์ที่ปารีส แม้ว่าฤดูหนาวจะจบไปแล้ว แต่คลื่นความเย็นก็ยังคงอยู่ในอากาศ ผู้คนตามท้องถนนส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ และผ้าพันคอ
โดยเฉพาะในย่านชานเมืองที่เงียบสงัด
ถนนที่เงียบสงัดด้านนอกทำให้ยิ่งรู้สึกหนาวเข้าไปอีก
แต่ที่นี่คือสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับโมลิน่า
เธอสวมใส่เสื้อขนสัตว์สีดำและยืนอยู่ตรงภาพสีน้ำมันด้านในบ้านชนบท
“เกือบจะสามสิบปีแล้ว…”
มันคือสิ่งเดียวที่เธอพูดตลอดทั้งวัน เธอพูดกับภาพวาด
“ขอร้องล่ะ บอกหนูที ว่าหนูต้องทำอย่างไรต่อ…”
เธอใช้เวลากว่าเจ็ดปีในการต่อสู้กับสมมติฐานของรีมันน์
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าความพยายามไม่ได้รับรองความสำเร็จเสมอไป เธอเตรียมตัวที่จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตไปกับปัญหานี้ แต่ทุกอย่างมันจบลงทันที
ถูกต้องแล้ว
ทุกอย่างจบแล้ว
เธอไม่รู้ว่ามนุษย์รู้สึกอย่างไรอีกต่อไปแล้ว
เธอมองไม่เห็นอะไรเลยในข้อสรุปของเธอในข้อพิสูจน์สุดท้ายของลู่โจว ราวกับว่าความพยายามทั้งหมดของเธอสูญเปล่า
ตอนที่ลู่โจวเขียนจำนวนพวกนั้นบนไวท์บอร์ด เขาดูสบายๆ เป็นธรรมชาติ มันรู้สึกราวกับว่าเธอเสียเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาของชีวิต
หลังจากที่เธอกลับมาจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมาที่ฝรั่งเศส เธอก็เก็บตัวอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอไม่ได้กลับไปพรินซ์ตันหรือติดต่อกับเพื่อนที่พรินซ์ตันเลย เธอขอลาหยุดยาวกับคณบดีและหายตัวไปจากโลกคณิตศาสตร์
โลกคณิตศาสตร์ต้องการฉันบ้างไหมนะ
ความคิดนี้ค้างคาอยู่ในหัวของเธอ
เพราะสุดท้ายแล้ว ข้อสรุปที่เธอสร้างขึ้นมาก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย…
ชายสูงวัยสวมชุดนอนยืนอยู่ตรงบันได มองดูหลานสาวของเขาจากด้านหลัง ความละอายใจปรากฏในดวงตาของเขา
หลังจากที่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็กัดฟันและพูด “…ปู่มีเรื่องที่ปิดบังหนูอยู่”
โมลิน่าพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นโดยที่ไม่หันกลับไปมอง
“…ถ้าปู่จะพูดเรื่องระหว่างปู่กับอนิสสา ปู่ไม่ต้องบอกหนูก็ได้ค่ะ เราต่างก็รู้ดี”
“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น” ชายสูงวัยละอายใจและเงียบไปอยู่นาน ในที่สุดเขาพูด “…ครอบครัวของเราไม่ได้เป็นทายาทของนีลส์ เฮนริก อาเบล”
ตอนที่โมลิน่าได้ยินสิ่งที่ตาพูด สายตาของเธอดูอบอุ่น
“หนูรู้ค่ะว่าปู่พยายามจะให้กำลังใจหนู แต่หนูไม่เป็นไรจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ”
ปู่ “…เปล่า ปู่พูดจริงๆ “
เธอสบตากับปู่ของเธอ
โมลิน่าอึ้งไป
ตอนที่เธอเห็นว่าชายสูงวัยไม่ได้ล้อเล่น เธอสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้พยายามปลอบใจเธอจริงๆ
เธอกลืนน้ำลายและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“…ปู่หมายความว่ายังไง?”
ชายสูงวัยพยักหน้าและพูดโดยไม่ลังเล
“ปู่ตั้งใจว่าจะเก็บความลับนี้ไปจนตาย ครอบครัวของเราไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณอาเบล ปู่ของปู่และพ่อของปู่ก็ไม่เคยไปนอร์เวย์ ตัวปู่เองก็ไม่เคยไป จริงๆ แล้วปู่ตั้งใจว่าจะไปหลังเกษียณ แต่สุดท้ายปู่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ”
โมลิน่า “แต่ชื่อของหนู”
“นามสกุลของปู่คืออาเบล แต่หนูไม่รู้เหรอว่ามีคนกี่คนในฝรั่งเศสที่มีนามสกุลนี้ เพื่อนสมัยมัธยมต้นของปู่สองคนก็ใช้นามสกุลอาเบล อาเบลมีชีวิตจนถึงอายุ 20 กว่าปี และเขาไม่เคยแต่งงาน ในฐานะนักคณิตศาสตร์ หนูไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลยเหรอ”
โมลิน่าดูเหมือนเธอกำลังจะเป็นบ้า เธอมองภาพสีน้ำมันจนเบ้าตาแทบจะระเบิด
“ภาพสีน้ำมันนี้เป็นของปลอมเหรอ แล้วสมุดที่อยู่ในห้องเก็บของล่ะคะ…”
ชายสูงวัยรู้สึกผิดขณะที่พูด “ของพวกนั้นไม่ใช่ของปลอมหรอก เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่งานศิลปะที่ดัง ราคาจึงไม่สูงมาก หนังสือคณิตศาสตร์ที่เข้าใจยากๆ ปู่ซื้อมาสะสมตอนที่ยังหนุ่มๆ เดิมทีปู่ตั้งใจว่าจะบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ แต่สุดท้ายปู่ก็เก็บเอาไว้เอง”
โมลิน่าก้าวถอยหลังและส่ายหัว เธอมองไปที่ปู่ของเธอด้วยท่าทีที่เจ็บปวด “…หนูไม่เข้าใจ คุณปู่โกหกหนูทำไม”
ทำไมถึงโกหกหนูมานานขนาดนี้
“ในตอนนั้นพ่อของหนูได้เกรดวิชาเลขที่แย่มากๆ ปู่ก็เลยชี้ไปที่ภาพสีน้ำมันและบอกเขาว่าเขาคือความอับอายของตระกูลอาเบล ปู่เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เกรดคณิตศาสตร์ของเขาก็พัฒนาขึ้น ตอนแรกปู่ก็สับสน แต่ทุกอย่างมันผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาถามปู่ว่าครอบครัวของเราเป็นลูกหลายของศาสตราจารย์อาเบลหรือเปล่า…ปู่ไม่อยากทำใจเขาสลาย”
ชายสูงวัยมองไปที่หลานสาวของตัวเอง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความละอายใจ เขาถอนหายใจอย่างแรงและพูด
“กลายเป็นว่าคงไม่มีคำโกหกสีขาวบนโลกนี้ โกหกก็คือโกหก ไม่ว่าคำโกหกนั้นจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องชดใช้มันอยู่ดี ขอโทษนะ ปู่ไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้…
“ปู่เข้าใจนะ ถ้าหนูจะเกลียดปู่”
โมลิน่ามองไปที่ภาพวาดบนผนัง ราวกับว่าหัวใจของเธอแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ และโลกของเธอพังทลายลงมา
……………………………