อันที่จริงแล้วสัญชาตญาณของลู่โจวนั้นถูกต้อง
เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างโมลิน่า หญิงสาวบ้าระห่ำอยู่ชั้นล่างของโรงแรม
เธออุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ ลู่โจวก็เลยไม่อยากปฏิเสธเธอ เขาพาเธอไปที่บาร์ที่อยู่ชั้นสองของโรงแรม
บาร์โรงแรมห้าดาวไม่เหมือนบาร์ส่วนใหญ่ มันเหมือนร้านอาหารมากกว่า มันจะบริการนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ จึงมีการตกแต่งที่โมเดิร์นและเรียบหรู เพลงที่เล่นในบาร์ก็ทันสมัยกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดนตรีคลาสสิก
แน่นอนว่าเครื่องดื่มที่เสิร์ฟในบาร์ทั่วไปก็ถูกเสิร์ฟที่นี่เช่นกัน เว้นแต่ว่ามันจะไม่อยู่ในเมนู
ลูโจวสั่งเบอร์เกอร์เบคอนและเบียร์เยอรมัน หลังจากนั้นเขามองโมลิน่าสั่งและดื่มค็อกเทลหลากสีแก้วแล้วแก้วเล่า
เขาอดไม่ได้จึงพูดออกมา
“นี่ เบาๆ หน่อย เดี๋ยวก็ฆ่าเซลล์สมองกันพอดี”
เท่าที่ดูจากการดื่มค็อกเทลของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอคออ่อน
“ฉันเลี้ยงเอง”
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่ถ้าคุณยืนยันที่จะเลี้ยงผม ผมก็ยินดี”
โมลิน่า “แล้วคุณจะห้ามไม่ให้ฉันดื่มทำไม”
ลู่โจว “ดูเหมือนว่าคุณพยายามจะเมาอยู่นะ”
โมลิน่าขมวดคิ้วและพูดทั้งๆ ที่ปวดหัวพร้อมแก้วในมือ
“…อะไร เมาอะไร”
บ้าเอ๊ย สายไปแล้ว เธอเมาเรียบร้อยแล้ว
ลู่โจวถอนหายใจ
“… ไม่มีอะไร”
หลังจากที่ดื่มเครื่องดื่ม โมลิน่ามีความสับสนอยู่ในตาของเธอ
เธอจ้องมองไปที่บาร์เคาน์เตอร์ และหันกลับมามองลู่โจว จู่ๆ เธอก็พูดขึ้น
“วันนี้ ฉันได้รู้ว่า…”
ลู่โจวกัดแฮมเบอร์เกอร์และพูด
“รู้อะไร”
หลังจากที่ลังเลอยู่นาน จู่ๆ โมลิน่าก็ถอนหายใจและวางแก้วลงบนโต๊ะ
“… ไม่มีอะไร”
ลู่โจว “…?!”
แกล้งกันอยู่เหรอ
โมลิน่าหยิบกระเป๋าถือออกมาและวางลงบนโต๊ะ
“นี่ของคุณ”
ลู่โจว “…มันคืออะไร”
“สิ่งนี้มาจากบรรพบุรุษของฉัน ศาสตราจารย์อาเบล มันคือสมุดของเขา อีกอย่าง บางแผ่นถูกขีดเขียนด้วยปากกาลูกลื่น ฉันเผลอไปวาดตอนเด็ก หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรนะ”
เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม โมลิน่าพยายามพูดคำว่าบรรพบุรุษออกมาอย่างยากลำบาก ลู่โจวไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธอเมาหรือเพราะสาเหตุอื่นกันแน่
ลู่โจวมองกระเป๋าถือบนโต๊ะและลังเล
“…คุณแน่ใจนะว่าอยากให้สิ่งที่สำคัญขนาดนี้กับผม”
โมลิน่าดื่มค็อกเทล เธอกระแทกแก้วเปล่าลงบนโต๊ะและพูด
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว อีกอย่างมันก็แค่สมุดเลอะเทอะเล่มหนึ่ง”
ลู่โจวมองหน้าโมลิน่าและเงียบไปสักพัก เขาถอนหายใจและพูดว่า
“…ผมจะเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้าคุณอยากได้คืนก็แค่ส่งข้อความมาหาผม”
“ไม่ต้องห่วง มันไม่เกิดขึ้นแน่ๆ แค่ได้เห็นมันฉันก็เศร้าแล้ว…ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ”
โมลิน่าดื่มค็อกเทลแก้วสุดท้ายเข้าไป เธอเอนตัวลงบนโต๊ะและพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่กว่าที่เธอจะยืนได้ ขาของเธอก็งอ ทำให้เธอล้มลงกลับไปบนเก้าอี้
หัวของเธอกระแทกกับโต๊ะ ลู่โจวมองร่างกายที่ไม่ได้สติของเธอ เขาอึ้งสนิท เธอหมดสติไปแล้วเหรอ
แม้ว่าลู่โจวจะรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป
ขณะที่ลู่โจวมองลู่โจว เขาพูดอะไรไม่ออก
แล้วไหนว่าจะเลี้ยงเครื่องดื่มผมไง ผมกลับต้องมาจ่ายเสียอีก
“…ช่างมันเถอะ ไหนๆ คุณก็ให้ของขวัญผมแล้ว ผมจ่ายให้ก็ได้”
ลู่โจวมองไปที่กระเป๋าถือบนโต๊ะและถอนหายใจ เขาเอื้อมมือไปกดปุ่มที่อยู่บนโต๊ะ ที่มีไว้สำหรับเรียกพนักงานเสิร์ฟ
แม้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโรงแรมสามารถนำไปรวมกับค่าห้องของเขาได้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบเงินของผู้เสียภาษี เขาหยิบบัตรออกมาและจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย
พนักงานเสิร์ฟมองโมลิน่าที่นอนอยู่บนโต๊ะ เขายิ้มและพูดว่า
“คุณครับ จะให้ผมช่วยพาเธอไปที่ห้องไหมครับ”
ลู่โจวเช็ดปากด้วยกระดาษและพูด “ครับ ขอบคุณ”
“ได้ครับ”
จู่ๆ ลู่โจวก็มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของพนักงานเสิร์ฟ เขากระแอมและพูด
“ผมหมายความว่า หาห้องให้เธออีกห้อง อีกอย่างคุณช่วยหาพนักงานเสิร์ฟหญิงสักสองคนช่วยพยุงเธอไปที่ห้องได้ไหม”
พนักงานเสิร์ฟออกอาการรู้สึกผิดทันที
“ขอโทษครับ ได้ครับ”
…
หลังจากที่เดินทางมาหลายพันกิโลเมตร ลู่โจวอยากเข้านอนเร็ว แต่หลังจากที่กินเบอร์เกอร์และดื่มเบียร์หนึ่งแก้วเต็มๆ เขาก็อิ่มเกินกว่าจะหลับลง
แม้ว่าจะล้มตัวลงบนที่นอนและพลิกตัวไปมาอยู่นาน เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ลู่โจวตัดสินใจดึงกระดาษในกระเป๋าออกมาอ่าน
สมุดเล่มนี้ค่อนข้างน่าสับสน และมันก็ไม่ใช่บันทึกวิจัยเสียทีเดียว มันเป็นเหมือนแรงบันดาลใจกับแบบร่างทางคณิตศาสตร์
แม้ว่าเขาเองก็มีนิสัยชอบเขียนแรงบันดาลใจ แต่เขาก็แตกต่างจากสิ่งที่ศาสตราจารย์อาเบลทำ เขาไม่เคยเขียนเนื้อหาวิชาการปนกับไดอารีของตัวเอง
ศาสตราจารย์อาเบลดูจะเป็นคนสบายๆ เขาไม่เพียงแค่ผสมผสานความคิดเรื่องความยากจนและชีวิตกับเนื้อหาคณิตศาสตร์แล้ว เขายังดูเหมือนจะเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในสเปนอีกด้วย
มันทำให้เขานึกถึงเพื่อนเก่าของเขาศาสตราจารย์เถา ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย คนสองคนนี้มีความคล้ายกันเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือคนหนึ่งเขียนในสมุดส่วนอีกคนเขียนในบล็อกส่วนตัวออนไลน์
ตอนที่ลู่โจวเปิดไดอารี มีอยู่หน้าหนึ่งศาสตราจารย์อาเบลพูดถึงเรื่องที่กระเป๋าเงินของเขาถูกขโมยขณะกำลังนั่งรถไฟ หน้าถัดไป เขาเขียนความคิดของเขาว่า ‘สมการพีชคณิตทั่วไปที่สูงกว่าสี่ระดับไม่มีผลลัพธ์สมการพีชคณิตทั่วไป’
ประพจน์นี้ที่คนสมัยนี้ไม่ให้ความสนใจ เทียบเท่ากับรางวัลมิลเลนเนียมในสมัยนั้น มันมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าการคาดคะเนของรีมันน์และเป็นปัญหาสำหรับนักคณิตศาสตร์ยาวนานกว่าสองศตวรรษครึ่ง
จึงควรค่าที่จะกล่าวว่าประพจน์นี้อาเบลเป็นคนแก้มันในปี 1824 ถ้าดูจากวันที่ในไดอารีแล้ว เขาเขียนบันทึกนี้ในช่วงปลายปี 1823
ส่วนสมมติฐานของรีมันน์…ดร.รีมันน์ ที่เกิดในเมืองเล็กๆ ที่ราชอาณาจักรฮันโนเฟอร์ เสนอสมมติฐานของเขาสองปีหลังจากนั้น มันใช้เวลาอีก 20 ปีก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเทววิทยาและปรัชญาเป็นคณิตศาสตร์
จริงๆ แล้วคณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับมาตรฐานในปัจจุบันนี้เลย
ลู่โจวรู้ว่าแม้แต่อัจฉริยะอย่างอาเบล เขาก็แทบจะไม่ได้ทิ้งการค้นพบสุดยอดไว้เลย เนื่องจากขีดจำกัดในเรื่องต่างๆ ในสมัยนั้น
แม้ว่าในบันทึกของเขาจะไม่ได้มีการค้นพบทฤษฎีคณิตศาสตร์ใหม่ๆ แต่ในฐานะนักคณิตศาสตร์ที่เก่งในยุคนั้น ไอเดียคณิตศาสตร์ของเขาก็ยังควรค่าในการสำรวจ
เขาอาจจะเจออะไรที่น่าสนใจก็ได้
ลู่โจวยังสงสัยอีกว่าอัจฉริยะอายุสั้นคนนี้ทำวิจัยเรื่องอะไรในปีสุดท้ายของชีวิต
ลู่โจวเปิดไปเรื่อยๆ และจู่ๆ เขาก็หยุดอยู่ที่หน้าหน้าหนึ่ง
“นี่คือ…”
มันคือรูปวาด เขาไม่รู้ว่ามันถูกวาดด้วยดินสอถ่านหรือไส้ดินสอ
เสาหินถูกปักอยู่บนพื้น…
ตอนที่ลู่โจวเห็นรูปวาด เขาหรี่ตา
รูปวาดนี้ เขาเคยเห็นมันมาก่อน แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของภาพวาด…
…………………