ต้นกำเนิดของภาพวาดของศาสตราจารย์อาเบลในสมุดยิ่งลึกลับขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าดูจากสมุดแล้ว ดูเหมือนว่านักวิชาการคนนี้คิดว่าความฝันทั้งหมดของเขามาจากพระเจ้าและไม่คิดที่จะค้นหาความหมายที่อยู่เบื้องหลังความฝันนี้
มันก็เข้าใจได้อยู่ ถ้าดูจากยุคสมัยของเขาในตอนนั้น
แม้ว่าตัวลู่โจวเองจะไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เขาก็รู้ว่าความคิดของศาสตราจารย์อาเบลคืออะไร
การที่คิดว่าเรื่องราวลึกลับเป็นการมีอยู่ของผู้มีพลังอันสูงศักดิ์เป็นเรื่องปกติของอารยธรรมมนุษย์
จริงๆ แล้วเขาก็ทำแบบเดียวกันหรือเปล่า การที่คิดว่าระบบมาจากอารยธรรมล้ำหน้าไม่ได้ต่างไปจากการที่เชื่อว่าทุกอย่างมาจากของพระเจ้าของจักรวาล
สมมุติฐานทั้งสองไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้มาพิสูจน์การมีอยู่
ลู่โจวไม่รู้ว่าอาเบลกำจัดฝันแปลกๆ นั้นออกไปหรือจงใจที่จะไม่คิดถึงมันกันแน่ เนื้อหาที่เหลือก็เกี่ยวกับปัญหาที่ว่า ‘ยังไม่มีผลลัพธ์ที่แน่นอนของระดับห้าหรือสูงกว่าของสมการพหุนามทั่วไป’
ลู่โจวรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับปัญหานี้ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกเขียนไว้ในสมุดก็ตาม
ศาสตราจารย์อาเบลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปี 1824 เขาประสบความสำเร็จในการสร้างชุดความสำเร็จทางคณิตศาสตร์ อย่างเช่น ทฤษฎีบทของอาเบล
แต่ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้พัฒนาชีวิตของเขา มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากวงการคณิตศาสตร์ปารีสเลยด้วยซ้ำในตอนนั้น
ในที่สุด ในฤดูใบไม้ผลิปี 1829 เขายากจนมากจนป่วยและเสียชีวิตลงภายในบ้านของคู่หมั้น ผลงานของเขาหลังจากนั้นถูกตีพิมพ์โดยครูของเขา ศาสตราจารย์โฮล์ม สิบปีให้หลัง
โลกที่เขาวาดขึ้นไม่เคยปรากฏที่ไหน
เบาะแสเดียวที่เหลืออยู่คือภาพสีน้ำมัน
โมลิน่ายืนอยู่ตรงสนามหญ้า ตอนที่เธอเห็นลู่โจวเดินออกมาจากบ้าน เธอพูด “คุณอยากจะไปที่ไหนต่อ ฉันจะอยู่กับคุณทั้งวัน”
ลู่โจว “ไม่มีที่ที่ผมอยากจะไปแล้ว
โมลิน่าเลิกคิ้ว
“แค่นี้เหรอ?”
ลู่โจวยิ้มแล้วพยักหน้า
“ใช่ ผมไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเมื่อคืน และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญด้วย ผมควรจะพักผ่อน”
หลังจากที่ลู่โจวบอกลาโมลิน่า เขาขึ้นรถหวังเผิงและกลับไปที่โรงแรม
เขาเข้านอนทันที
เช้าวันถัดมา รถลีมูซีนสีดำจากกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจอดอยู่ตรงทางเข้าโรงแรมเพื่อมารับลู่โจว
เมืองแซงต์-ลิซิเยร์ที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปตั้งอยู่ที่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งไม่ไกลจากปารีสมากนัก เนื่องจากเขาตั้งใจว่าจะกลับในวันนั้นเลย พวกเขาจึงควรออกตั้งแต่เช้า
ก่อนที่จะขึ้นรถ ลู่โจวคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเตรียมบอดี้การ์ดและไกด์นำเที่ยวให้เขาด้วย แต่เขาไม่คาดคิดว่าชายที่มากับเขาจะเป็นผู้อำนวยการจัคโกบิโนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฝรั่งเศสจริงๆ
ตำแหน่งของเขาน่าจะเทียบเท่ากับผู้ควบคุมดูแลกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน
ลู่โจวไม่รู้ว่าตำแหน่งพวกนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าหัวหน้านักออกแบบและหัวหน้าที่ปรึกษาของคณะกรรมการการโคจรของดวงจันทร์หมายถึงอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ดูจากสิ่งที่ประธานาธิบดีจีนพูด ผู้อำนวยการจัคโกบิโนอยู่ระดับเดียวกับผู้อำนวยการหลี่
ดังนั้นจัคโกบิโนจึงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง
นอกจากถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบก่อนขึ้นรถ ทั้งคู่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย
ลู่โจวพกหนังสือไปด้วย เขาไม่ได้สนใจอยากจะพูดคุยเลยแม้แต่น้อย เขาเปิดหนังสือเงียบๆ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับจัคโกบิโนที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลใยวงการวิชาการจีน
จัคโกบิโนชำเลืองมองเวลาตรงนาฬิกาข้อมือและเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกไม่มาก เขาแอบส่งสัญญาณบอกคนขับรถเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าให้ขับช้าๆ หลังจากนั้นเขามองลู่โจวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา และถาม “ฮาเวสท์แอนด์แพลนท์ติ้ง…ชื่อน่าสนใจดีนะครับ เป็นบทกวีเหรอ”
ลู่โจวเปิดหนังสือผ่านๆ และตอบด้วยท่าทีเป็นกันเอง “ถ้าจะให้พูดชัดๆ ก็คือ มันคืออัตชีวประวัติครับ”
อัตชีวประวัติเหรอ
จัคโกบิโนลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดต่อ
“แล้วผู้เขียนคือใครครับ”
“ศาสตราจารย์ก็อตเท็นดิ๊ก ผมไม่รู้วันมันถูกเขียนขึ้นตอนไหน…อยากให้ผมอ่านให้ฟังไหมครับ”
จัคโกบิโนยิ้มและพูดด้วยท่าทีใจดี
“มันเป็นโอกาสที่หายากมากๆ เลยที่จะได้ฟังการบรรยายจากคุณ”
ลู่โจวยิ้มให้ผู้อำนวยการจัคโกบิโน
เขารู้ว่าจัคโกบิโนพยายามจะทำอะไร
แต่เขาคงไม่ประจานที่จัคโกบิโนพยายามจะสานสัมพันธ์กับเขา ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่ได้ต่ำขนาดนั้น
เขากระแอมและอ่านย่อหน้าที่เขาชอบที่สุดในภาษาฝรั่งเศสด้วยเสียงที่หนักแน่น
“…เมื่อเราไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์ในฐานะเครื่องมือที่มีพลังความสามารถ แต่เพื่อการผจญภัยในการแสวงหาความรู้ เราจะได้สัมผัสถึงความสงบบริสุทธิ์จากสิ่งนี้ ในขณะที่ความสงบผันเปลี่ยนไปตามเวลา มันปรากฏให้เห็นถึงแก่นสารที่ละเอียดอ่อนของโลก…ราวกับว่ามันมาจากความว่างเปล่า”
มาจากความว่างเปล่า…
ลู่โจวรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาอ่านประโยคนี้ เขาเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะบอกมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วความว่างเปล่าคืออะไรกันแน่
คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจเขา
แต่จัคโกบิโนไม่ได้ซาบซึ้งกับประโยคเหล่านั้นเลย แต่เขากลับประหลาดใจกับภาษาฝรั่งเศสของลู่โจวมากกว่า
ทั้งสองคนพูดภาษาอังกฤษด้วยกันมาตลอด เขาไม่รู้เลยว่าศาสตราจารย์ลู่จะเก่งภาษาฝรั่งเศสด้วย
“…ภาษาฝรั่งเศสของคุณคล่องแคล่วมากครับ คุณเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนไหนเหรอ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เซิร์นหรือเปล่า”
ลู่โจวส่ายหัว
“ผมเริ่มเรียนเมื่อเดือนที่แล้วครับ”
จัคโกบิโน “…?”
พูดชัดๆ ก็คือเขาเพิ่งเริ่มเรียนตอนสิ้นเดือนที่แล้ว ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะมาฝรั่งเศส
แน่นอนว่าถ้าลู่โจวบอกเรื่องนั้นกับจัคโกบิโน จัคโกบิโนคงอ้าปากค้างแน่ๆ
ลู่โจวมองสีหน้าประหลาดใจของผู้อำนวยการจัคโกบิโนและยิ้ม ลู่โจวไม่ได้สนใจเขาและยังคงอ่านอัตชีวประวัติต่อ
คนขับรถที่นั่งด้านหน้าพวกเขาพูด
“ถึงแล้วครับ”
…
โบสถ์แซงต์ลิซิเยร์ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่แซงต์-ลิซิเยร์ มันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มันเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆ สำหรับคนในท้องถิ่นเท่านั้น
นักบุญสูงวัยยืนอยู่ตรงทางเข้าโบสถ์ เขามองลู่โจวลงจากรถและพูด “ในที่สุดคุณก็อยู่ที่นี่”
ลู่โจวมองไปที่นักบวชสูงวัยและยิ้มอย่างประหม่า
“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอนะครับ”
“จดหมายอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
ลู่โจวหยิบซองจดหมายเก่าๆ จากกระเป๋าและยื่นให้กับนักบวช
หลังจากที่นักบวชเปิดจดหมายและตรวจสอบดูว่าเป็นลายมือของก็อตเท็นดิ๊กจริงๆ เขายื่นจดหมายให้ลู่โจวและพูด “ศาสตราจารย์ก็อตเท็นดิ๊กขอให้ผมมอบจดหมายนี้ให้กับคุณด้วยตัวเอง ผมคิดว่าเขาสามารถทำตามสิ่งที่ต้องการได้ตั้งแต่แปดปีที่แล้ว”
“…ผมขอโทษที่ใช้เวลานานขนาดนี้”
นักบวชหายใจแรงและพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ ถ้าคุณไม่มาคุณเองนั่นแหละที่เสียประโยชน์ คนที่ควรเป็นคนโกรธคนอยู่ใต้ดินลึกหกฟุต คุณควรไปขอโทษเขาเอง ต้องการดอกไม้ไหมครับ ราคา 10 ยูโร ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องให้อภัยคุณอยู่แล้ว”
ลู่โจวพยายามหาเงินสด แต่เขาเจอแค่บัตรเครดิต ผู้อำนวยการจัคโกบิโนที่ยืนใกล้เขา รีบหยิบกระเป๋าเงินออกมาและพูดกับนักบวช
“ผมซื้อสองกำ! ศาสตราจารย์ก็อตเท็นดิ๊กเป็นนักวิชาการที่เก่ง การตายของเขาคือความสูญเสียของโลกและเราติดค้างคำขอโทษเขา…”
เขาเกิดในยุคสงคราม ศาสตราจารย์ก็อตเท็นดิ๊กเป็นนักสันตินิยมมาตลอดชั่วชีวิตของเขา เพราะแบบนี้เขาและสถาบันการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงปารีสจึงถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่อง ‘คณิตศาสตร์ควรถูกนำไปใช้ในสงครามหรือไม่’ เหตุการณ์นี้ทำให้เขาอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส…
ทุกคนในฝรั่งเศสรู้เรื่องนั้น
ชายสูงวัยมองจัคโกบิโนและยิ้ม
“ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณคงไม่รอมานาน 8 ปีกว่าจะมาเยี่ยมเขาหรอกครับ”
นักบวชหันหลังและเปิดประตูไม้และนำทางไปที่สุสาน
“เข้ามาครับ ศิลาหน้าหลุมศพของเขาคืออันที่สองจากซ้าย แถวที่สาม”
ลู่โจวพยักหน้าและเดินตรงไปที่ประตูไม้
แต่ตอนที่เขากำลังจะก้าวผ่านประตู จู่ๆ นักบวชสูงวัยก็ดึงมือลู่โจวไว้
“เดี๋ยวนะ นี่ของคุณเหรอ”
เขาหยิบสมุดจากมือของเขา
ลู่โจวหยิบสมุดสีน้ำตาลจากมือของนักบวชและเปิดดูผ่านๆ
“มันคือสมุดของก็อตเท็นดิ๊กเหรอครับ”
จริงๆ แล้วลู่โจวประหลาดใจกับความบางของมัน
นักบวช “มันยังมีอีกครับ แต่นี่คือเล่มที่สำคัญที่สุดผมก็เลยเก็บไว้ในโบสถ์ ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนอยู่ด้านใน แต่เขาเคยบอกว่ามันเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการแก้”
“เขาต้องการหาคนมาช่วยอยู่ตลอด เขาคิดว่าเดอลีงย์และชาวเยอรมันที่ชื่อชูลทซ์อาจจะช่วยได้ แต่เขาเกลียดเยอรมันและคิดว่าชูลทซ์ยังเด็กเกินไป…เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาเลือกคุณในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอคุณด้วยซ้ำ”
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงความสำคัญของสมุดนี้ เขามองนักบวชสูงวัยและพูดด้วยท่าทีที่จริงจัง
“ขอบคุณที่เก็บรักษามันให้ผมมาโดยตลอด”
นักบวชสูงวัยพ่นลมหายใจและพูดอย่างเป็นกันเอง “ยินดีครับ คุณรวยไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณอยากขอบคุณผมก็บริจาคเงินให้โบสถ์บ้างสิ โบสถ์นี้ไม่ได้รับการบูรณะมากว่า 50 ปีแล้ว”
ลู่โจวหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้ม
“ไม่มีปัญหา”
ถ้าเทียบกับปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนแล้ว…
อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเงินเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเขา
………………………