วันที่ห้าของงานประชุมทางวิชาการ…
มีชายสวมชุดสูทเดินไปที่ห้องสามศูนย์หกอย่างเร่งรีบก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปเคาะประตูอย่างสุภาพ
“คุณลู่โจว การพรีเซนต์ของคุณใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว คุณพร้อมแล้วหรือยัง?”
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากในห้อง
จากนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น
“ตอนนี้? ไม่ใช่ว่าผมพรีเซนต์ตอนบ่ายหรือ?”
ชายชุดสูทยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เขากระแอมก่อนจะกล่าว “ในทางเทคนิคมันต้องเป็นอีกหนึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยนักข่าวเบลเยียม ตารางงานจึงมีการปรับเปลี่ยน…คุณเห็นอีเมลไหม?”
ในห้องเงียบไปชั่วครู่ มีเสียงถอนหายใจอย่างร้อนรนดังแว่วขึ้นมา
“…ผมขออาบน้ำก่อน”
พนักงานงานประชุมโล่งอก
“พวกเราต้องขออภัยในความไม่สะดวก…อีกอย่างโปรดอย่าใช้เวลาอาบน้ำนานเกินไป”
…
มีคนประมาณสองร้อยคนที่นั่งอยู่ในห้องบรรยายหนึ่งที่มีคนอยู่กันอย่างหนาแน่น ในหมู่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนไร้ชื่อเสียง แต่ก็มีอยู่สองสามคนที่เป็นบุคคลชื่อดัง
ยกตัวอย่างศิษย์ที่น่าภูมิใจของจักรพรรดิคณิตศาสตร์ก็อตเทนดิ๊ก เดอลีงย์ และศาสตราจารย์หวังอี้ผิงจากมหาวิทยาลัยเยี่ยน
อาจเป็นเพราะสภาวะจิตใจที่ไม่ดีของลู่โจว เขาจึงสงบผิดปกติ เขาไม่ประหม่าเลยสักนิด
ลู่โจวปรับไมโครโฟน และเมื่อเขาได้รับสัญญาณจากเจ้าหน้าที่งานประชุม เขาก็เริ่มพูด
“ตอนนี้ทุกท่านน่าจะได้อ่านวิทยานิพนธ์ของผมไปแล้ว จากข้อตกลงเดิมของงานประชุม เนื้อหาที่จะบรรยายในวันนี้ควรเกี่ยวกับการศึกษาจำนวนเฉพาะของแมร์แซน…แต่เนื่องจากการปรับเปลี่ยนตารางเวลา ผมจึงต้องขอเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย”
ลู่โจวหยุดชั่วครู่ จากนั้นเขาก็มองเจ้าหน้าที่แล้วกล่าว “คุณช่วยเอาไวท์บอร์ดมาให้ผมได้ไหม?”
เจ้าหน้าที่ลังเลก่อนจะกล่าว “ครับ แต่ภาพจากโปรเจคเตอร์ที่แสดงบนไวท์บอร์ดนั้นแย่มาก มันจึงอาจทำให้บางคนมองไม่เห็น”
“แค่เอาปากกามาให้ผมก็พอ” ลู่โจวกล่าว จากนั้นเขาก็หันไปมองโปรเจคเตอร์ “ปิดโปรเจคเตอร์ไปเลยก็ได้”
ผู้ชมกระซิบกระซาบกันเอง พวกเขาไม่รู้ว่าลู่โจวจะทำอะไร
เจ้าหน้าที่ก็เฝ้าดูด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้รับคำขอแปลกๆ จากอัจฉริยะ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบลากไวท์บอร์ดมาให้ลู่โจวอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวขอบคุณพวกเขาก่อนจะหันหน้าไปทางไวท์บอร์ด เขาสูดลมหายใจแล้วเข้าสู่มิติของระบบ เขาเริ่มใช้งานช่วงเวลาแห่งการเกิดแรงบันดาลใจทันที
มันเป็นแรงบันดาลใจชั่วโมงสุดท้าย
เขาจะทำการพิสูจน์ให้เสร็จในชั่วโมงนี้!
เมื่อลู่โจวลืมตา เขาก็ยกปลายปากกาขึ้น
เขาเขียนการคำนวณบรรทัดแรกลงบนไวท์บอร์ด
ผู้ชมหัวเสียเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ไม่ได้บรรยายอะไรเลย แม้แต่พาวเวอร์พอยนต์ก็ไม่ใช้ เพราะงี้แหละมือใหม่ถึงไม่เป็นที่ต้อนรับ
นักศึกษาสองคนที่นั่งอยู่หลังห้องบรรยายเก็บข้าวของแล้วรีบเดินออกนอกห้องไป
งานประชุมทางวิชาการเหลือไม่กี่วันเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเสียเวลาเปล่ากับการฟังการบรรยายที่ไร้ประโยชน์
แต่สำหรับเหล่าอัจฉริยะที่เข้าร่วมงานประชุมบ่อยๆ พวกเขาชินกับความปั่นป่วนแบบนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลย พวกเขามุ่งเน้นที่ผลของการพรีเซนต์ ไม่ใช่ผู้พรีเซนต์
เมื่อลู่โจวเขียนการคำนวณบรรทัดที่สิบ จู่ๆ ศาสตราจารย์เดอลีงย์ก็มีสีหน้าแปลกใจ
เขาบอกผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ “เอาสมุดมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
ผู้ช่วยรีบหยิบสมุดออกมา “ผมเอามาด้วยครับ”
“ขอบใจ”
ศาสตราจารย์เดอลีงย์วางสมุดไว้บนตักแล้วจ้องมองการคำนวณบนไวท์บอร์ด แววตาของเขาค่อยๆจริงจังขึ้น
ในขณะเดียวกันศาสตราจารย์หวังอี้ผิงที่นั่งอยู่อีกด้านของห้องบรรยายก็จ้องมองไปยังไวท์บอร์ดเช่นกัน
แม้ว่าด้วยเหตุผลด้านอายุ มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเห็นบนไวท์บอร์ด แต่เขาก็ยังจ้องมองอย่างตั้งใจมาก
ข้างๆ เขาเป็นกลุ่มแลกเปลี่ยนด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยเยี่ยน กลุ่มนี้ประกอบด้วยนักศึกษาปริญญาตรีสามคนและนักศึกษาปริญญาโทและเอกอย่างละคน
เหว่ยเหวินจ้องมองไวท์บอร์ดแล้วถาม “เขากำลังทำอะไร?”
นั่นสิ
เขากำลังทำอะไร…
ศาสตราจารย์หวังก็สงสัยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นการคำนวณบรรทัดที่สิบ เขาก็เงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อทันที
เขาอาจเดาได้แล้วว่าลู่โจวกำลังทำอะไร
เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
เด็กคนนี้กำลังท้าทายปัญหาระดับโลกที่นี่? ข้อคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่แฝด?
เด็กคนนี้ต้องบ้าไปแล้ว…
“ตะแกรงของเอราทอสเทนีส? เขากำลังพิสูจน์ข้อคาดการณ์ที่สองของก็อลท์บัค? ไม่สิ ไม่ใช่ สูตรคำนวณเหล่านี้…” โมลิน่าจ้องมองไวท์บอร์ดแล้วพึมพำ “ศาสตราจารย์เซลล์เบิร์กตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ใน’Year of Mathematics’ตอนปี 1995 เกี่ยวกับการศึกษาวิธีทอพอโลยีในทฤษฎีตะแกรง…เขากำลังท้าทายข้อคาดการณ์คู่แฝด!”
เมื่อลู่โจวเขียนคำนวณบรรทัดที่ยี่สิบ ผู้เข้าร่วมในห้องบรรยายสามสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เข้าใจแล้วว่าเขากำลังทำอะไร
ส่วนคนที่เหลือนั้น พวกเขาไม่รู้เรื่องเลย
งานประชุมทางวิชาการประเภทนี้เปิดกว้างมาก และมาตรฐานการลงทะเบียนก็ไม่ได้สูงเกินไป ใครๆ ก็เข้าร่วมได้ ตราบใดที่พวกเขาจ่ายค่าลงทะเบียนราคาแพงล่ะก็นะ
อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญมากนักว่าคนๆ นั้นจะลงทะเบียนไหม
แม้ว่างานประชุมแบบนี้จะออกบัตรเชิญให้ แต่พนักงานก็ไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำ ดังนั้นหลายคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนจึงยังแอบเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับคณิตศาสตร์กับผู้เข้าร่วมงานได้
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาไม่สามารถพรีเซนต์โปสเตอร์ทางวิชาการของตนเอง ไม่อาจพักอยู่ในโรงแรมพรินซ์ตันและไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทล
เหว่ยเหวินจ้องมองไวท์บอร์ดแล้วพลันเอ่ยขึ้นมา “ทฤษฎีจำนวนเฉพาะคี่สามของวีโนกราดอฟ”
ศาสตราจารย์หวังอี้ผิงพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่”
เหว่ยเหวินอดถามไม่ได้ “ศาสตราจารย์…เขากำลังทำอะไรกันแน่?”
ศาสตราจารย์หวังอี้ผิงยิ้มแล้วกล่าว “โอ้ เธอบอกไม่ได้เหรอ?”
เหว่ยเหวินดูมึนงง เขาส่ายหน้า
“งั้นก็แค่ดูต่อไป” ศาสตราจารย์หวังอี้ผิงถอนหายใจ ขณะที่เขามองไวท์บอร์ด เขาก็พยักหน้ายอมรับ “ดูเหมือนศาสตราจารย์ถังจะเมล็ดพันธุ์ที่ดี…ฉันคาดหวังในอีกยี่สิบปีข้างหน้าจริงๆ”
ลู่โจวไม่ได้สังเกตความเคลื่อนไหวในห้องบรรยาย สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่บนไวท์บอร์ด แม้ว่าความเร็วการเขียนของเขาจะไม่ได้เร็วนัก แต่มันก็มีพลังและระมัดระวังเป็นพิเศษ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป และเจ้าหน้าที่งานประชุมก็ยังคงเฝ้าดูอย่างตั้งใจ
ในที่สุดก็เหลือเวลาอีกห้านาที เจ้าหน้าที่เห็นว่าส่วน Q&A ยังไม่เริ่มเลย ดังนั้นเขาจึงกระแอมแล้วเอ่ยเตือนลู่โจว
“เหลือเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้น”
ลู่โจวยืนอยู่หน้าไวท์บอร์ดเขียนสูตรคำนวณต่อไปราวกับว่าเขาไม่ได้ยินที่เจ้าหน้าที่พูด
เขาป้องกันสิ่งรบกวนจากภายนอกโดยสมบูรณ์
สุดท้ายห้านาทีนั้นก็ผ่านไป
เจ้าหน้าที่สองคนแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วกำลังจะขัดจังหวะผู้พรีเซนต์
อย่างไรก็ตามมีหนึ่งในคนที่นั่งอยู่แถวหน้าพูดขึ้นมา
“ปล่อยให้เขาทำต่อไป”
คนพูดคือปิแยร์ เดอลิงย์
เมื่อได้ยินคนใหญ่คนโตคนนี้พูด เจ้าหน้าที่ก็ตกตะลึง
อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยอาชีพเขา เจ้าหน้าที่จึงอธิบาย “แต่การพรีเซนต์คนต่อไปกำลังจะเริ่มแล้ว…”
ศาสตราจารย์เดอลีงย์วางสมุดไว้ข้างๆแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะกล่าวช้าๆ “การพรีเซนต์ถัดไปจะถูกย้ายไปห้องบรรยายที่ สี่ ใครอยากไป ไปได้เลย”
จากนั้นเขาก็นั่งลง
สิบนาทีผ่านไป ไม่มีใครออกไปจากห้องบรรยายที่ 1
ไม่มีใครยอมจากไป
คนที่ไม่เข้าใจเนื้อหานั้นได้ออกไปนานแล้ว ไม่มีใครนั่งอยู่จนถึงตอนนี้
ส่วนคนที่เหลือ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าลู่โจวกำลังทำอะไร
การท้าทายปัญหาคณิตศาสตร์ระดับโลกระหว่างงานประชุม?
คนที่กล้าทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่อัจฉริยะ แต่เป็นคนบ้า!
คนที่กำลังนั่งชมอยู่นั้น ถ้าพวกเขาไม่ได้กำลังเป็นสักขีพยานช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็กำลังชมเรื่องตลกครั้งใหญ่แทน
แต่ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นการแสดงที่น่าสนใจ
…………………………………