[พวกแกรู้ไหมว่าอู๋เหยียนต้องพยายามหนักแค่ไหน? แกเข้าใจเขาไหม?]
[มาลองคิดดู ทำไมนักศึกษาคณิตศาสตร์ปริญญาเอกอายุยี่สิบห้าปีต้องขโมยความสำเร็จทางวิชาการของคนอื่นด้วย? ต่อหน้าธารกำนัล? ทำไม? มีแค่คนเดียวที่แก้ข้อคาดการณ์ได้งั้นเหรอ?]
[บันทึกงานประชุมทำอะไรได้? น่าขัน แค่คนผิวขาวเซ็นลงไป มันก็กลายเป็นหลักฐานแล้ว? ฉันไม่เคยไปพรินซ์ตัน แต่ฉันดูคลิปวิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบ มันดูต่างจากในรายการอย่างสิ้นเชิง!]
[ผู้พรีเซนต์ที่อายุน้อยที่สุด รางวัลหมื่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐ น้อยมาก]
[แฟนคลับอู๋ ความยุติธรรมต้องชนะ! (กำปั้น) (กำปั้น)]
เมื่อลู่โจวเห็นความคิดเห็นบนเว่ยป๋อ เขารู้สึกถึงอารมณ์นับล้านถาโถมเข้ามา
ถ้าเขาเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม…
ถ้าเขาเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ…
ถ้าเขาไม่ได้รับหลักฐานจากงานประชุมทางวิชาการ…
ถ้าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง งั้นคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อเขา
เขาคิดถึงเรื่องอื้อฉาวโลกวิชาการในปี 2014 เหตุการณ์ของ’เทพธิดาโลกวิชาการ’เสี่ยวเป่าฟาง การขโมยผลงานระดับรางวัลโนเบลซึ่งจบลงด้วยการฆ่าตัวตายของอาจารย์ที่ปรึกษา
โชคดีที่ลู่โจวไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว
มันมากเสียจนเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เองด้วยซ้ำ
เมื่อลู่โจวเห็นความคิดเห็นบนโพสต์เว่ยป๋อของตน เขาก็ไม่ได้โกรธเลย…
อันที่จริง…
เขารู้สึกอยากหัวเราะ
“ใครจะสนใจพวกอคติพวกนี้กัน”
ลู่โจวอ่านความคิดเห็นต่อ เมื่อเขาเห็นคนที่ให้กำลังใจเขา เขาก็ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วกดไลค์ให้คอมเมนต์คนเหล่านั้น
เขาไม่สนใจ’ติ่งอู๋ง’พวกนั้น กลับกันเขาโทรหาหลัวเหวินเซวียนที่อยู่พรินซ์ตันแทน
บันทึกงานประชุมมาได้พอดีมาก
เขาต้องไปขอบคุณอีกฝ่าย
…
ข่าวที่ผู้กำกับจางพูดถึงเป็นข่าวจากสำนักข่าวเหรินเหริน
ครั้งนี้เหรินเหรินได้ตีพิมพ์ข่าวที่เป็นหัวข้อมาแรงช่วงนี้
[รายการบันเทิงควรมีจรรยาบรรณขั้นพื้นฐาน]
ในข่าวใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์รายการโทรทัศน์นักศึกษาอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด มันกล่าวว่ารายการนี้กำลังหลอกลวงผู้ชม และทำผิดกฎหมาย
ทันทีที่ข่าวออกมา สื่อใหญ่ๆทั้งหมดก็แชร์ข่าวนี้จนทำให้มันกลายเป็นกระแส
ในแถบคอมเมนต์ของเหรินเหรินก็เดือดพล่าน
[บัดซบ ฉันดันคิดไปจริงจังว่าอู๋เหยียนพิสูจน์ข้อคาดการณ์เอง ดาราทุกคนเป็นแบบนี้เหรอ?]
[ไอ้เวรเอ้ย!]
[ทำไมคนถึงชอบเจ้าหมอนี่กัน? เขาก็แค่นักศึกษาปริญญาเอก โลกนี้มีนักศึกษาปริญญาเอกเป็นล้านๆ!]
[ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย อู๋เหยียนหลอกเรา]
[เจ้าหมอนี่มีปัญหาแน่]
[ค้อนแห่งความยุติธรรมเป็นผู้ชนะ! (กำปั้น) (กำปั้น)]
[ฉันสนใจเรื่องของลู่โจว ครั้งก่อนเขาออกข่าวในหัวกั๋วชิงเหนียน ตอนนี้เขาก็มาอยู่บนเหรินเหรินอีก เขาค่อนข้างมีอิทธิพล…]
[…]
เมื่อมีข่าวจากเหรินเหริน คนที่ยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ก็ได้เปลี่ยนความคิด
ไม่ว่าแฟนคลับอู๋จะพยายามโต้แย้งหนักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีโอกาสต่อกรกับสื่อใหญ่ๆ
คนที่อยู่ข้างอู๋เหยียนก็เริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่้อมีคนเข้าไปดูบัญชีเว่ยป๋อของอู๋เหยียน พวกเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าบัญชีถูกแบน
มีคนแคปโพสต์สุดท้ายของอู๋เหยียนไว้ก่อนที่เขาจะถูกแบน
[ผม อู๋เหยียน จะไม่มีทางขโมยผลงานใคร ผมมีแฟนคลับห้าล้าน ผมจำเป็นต้องขโมยผลงานคนอื่นจริงหรือ? ผมแค่ได้แรงบันดาลใจเท่านั้น พวกคุณกำลังกล่าวหานักวิทยาศาสตร์…]
แม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ยอมรับความผิดตนเอง
ความปรารถนาในการเอาชีวิตรอดของเขาช่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
น่าเสียดายความอยากมีชีวิตรอดของเขาใช้ในสถานที่ที่ไม่ถูกต้อง
ไม่มีใครเห็นใจเขา
ต่อหน้าหลักฐานมัดตัว ในฐานะผู้ใหญ่ เขาก็ต้องชดใช้การกระทำความผิด
…
หลังเหตุการณ์นี้ บทสนทนาในหมู่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆก็เดือดขึ้น
สื่อใหญ่ๆเกือบทั้งหมดต่างก็รายงานเหตุการณ์นี้
ที่วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเยี่ยน มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงข้างกันไปห้องสมุด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีนักข่าววิ่งเข้ามาหาจากข้างหลัง
“สวัสดีครับ ขอเวลาสักครู่ครับ…คุณคือเหว่ยเหวินใช่ไหม?”
เหว่ยเหวินหยุดเดินแล้วมองนักข่าว
“ใช่ ทำไม?”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ สถานีโทรทัศน์ของเรากำลังทำโปรแกรมสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัย คุณยังไงกับข้อพิพาทระหว่างลู่โจวกับเหว่ยเหวินบนเว่ยป๋อ?”
เหว่ยเหวินดันกรอบแว่น “คุณอยากถามว่าฉันคิดยังไง?”
นักข่าวยิ้มแล้วกล่าว “พูดถึงลู่โจวก่อน ผมได้ยินว่าคุณเคยพบเขาในการแข่งขันระดับประเทศ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเขา?”
เหว่ยเหวินคิดสักครู่ก่อนจะตอบ “คู่แข่งที่น่านับถือ”
อันที่จริงลู่โจวแซงหน้าเขาไปไกลจนเขาเรียกอีกฝ่ายว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
แน่นอนเหว่ยเหวินย่อมไม่พูดแบบนั้น
ในพจนานุกรมของเขาไม่มีคำว่ายอมแพ้
เขากำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวครับ”
เหว่ยเหวินหันหน้ามามองนักข่าว
“มีอะไรอีก?”
นักข่าวถาม “แล้วอู๋เหยียนล่ะครับ? คุณได้เหรียญทองในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับนานาชาติของ IMO คุณคิดว่าอู๋เหยียนเป็นคู่แข่งที่น่านับถือไหม?”
เหว่ยเหวินขมวดคิ้ว “อู๋เหยียน? เขาอ่อนแอ”
นักข่าวอึ้ง
เหว่ยเหวินเดินจากนักข่าว
“ชุ่ยจิง ไปกันเถอะ”
“อืม”
หญิงสาวนามชุ่ยจิงพยักหน้าและเดินเคียงข้างเขา
เมื่อนักข่าวได้สติ ทั้งสองก็เดินไปไกลแล้ว
……………………….