ลู่โจวยอมรับว่าเขาไม่ควรปล่อยให้เพื่อนๆ จ่ายค่าอาหารมื้อนี้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาทำให้เขาเลี้ยงข้าวหลายรอบแล้ว มันควรเป็นตาพวกเขาบ้างใช่ไหม?
ทุกคนดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า
พวกเขาดื่มกันไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากมอมลู่โจว
อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่ได้กังวลเลย เพราะคนแรกที่น็อคจะเป็นหลิวรุ่ยเสมอ
คราวนี้หลิวรุ่ยก็ถูกแบกกลับไปหอเหมือนเดิม…
…
หลังจบการพรีเซนต์ ลู่โจวก็พักสองสามวัน เขาต้องพักร่างกายเพื่อรับชีวิตนักศึกษาปริญญาโท
สถานะนักศึกษาก็ออกมาในไม่ช้า
และแล้วลู่โจวก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจินหลิงอีกครั้ง
เว้นแต่ว่าครานี้เขาเป็นนักศึกษาปริญญาโท
หลังจากพิจารณาอย่างจริงจัง ลู่โจวก็ฟังคำแนะนำของศาสตราจารย์ถังแล้วเรียนปริญญาโทภายใต้ศาสตราจารย์หรูเสินเจียน
อย่างแรกเลยเขาอยากพัฒนาทางฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์เพิ่มเติม อย่างที่สองศาสตราจารย์ถังพูดถูก เขายังไม่มีประสบการณ์ในแวดวงวิชาการในประเทศอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องขยายมุมมองของตน
คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ด้วยซ้ำว่ามุมมองนี้ลึกซึ้งแค่ไหน
พูดตามเหตุผลแล้ว ถ้าเขาอยากปีนไปอยู่บนโลกวิชาการที่สูงขึ้น การมีนักวิชาการมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาโทจะเป็นประโยชน์มาก ยกตัวอย่างถ้าจะประกาศโปรเจกต์ระดับชาติ เขาก็ต้องมีการรับรองของนักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการขอเงินทุนหรือประชุมนโยบาย มันจะดีกว่าสู้คนเดียวแน่นอน
ในฐานะศิษย์ของนักวิชาการ เขาจะมีโอกาสเรียนรู้ความรู้แนวหน้าเช่นกัน ซึ่งลู่โจวปรารถนามากที่สุด
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ลู่โจวจึงสมัครเป็นนักศึกษาปริญญาโทของศาสตราจารย์หรูเสินเจียน
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนก็ยินดีต้อนรับลู่โจว
เขาไม่ได้รับนักศึกษาปริญญาโทมานานแล้ว เขาไม่มีทั้งแรงและเวลา แต่เมื่อเขาเห็นความสามารถของลู่โจวในฟิสิกส์เชิงทฤษฎี เขาจึงตัดสินใจยอมรับคำขอของลู่โจว
ฟิสิกส์เชิงทฤษฎีเป็นสาขาวิชาระดับสูง โดยเฉพาะสาขาฟิสิกส์ของอนุภาค มันเผยให้เห็นถึงความลึกลับของจักรวาลในสเกล 10^-18 เมตร
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเรียนฟิสิกส์ของอนุภาคเช่นกัน
การรวมกันของทั้งสองวิชาจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
ดังนั้นลู่โจวจึงเลือกทิศทางจินตนาการของฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนตั้งหน้าตั้งตารอทำงานกับเขา
…
ตึกวิจัย…
ลู่โจวรายงานต่อศาสตราจารย์หรูเสินเจียนเพื่อเริ่มเรียนระดับปริญญาโทกับศาสตราจารย์
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนอธิบายสถานการณ์และสิ่งที่นักศึกษาปริญญาโทต้องทำแก่เขาอย่างสั้นๆ
“…เธอประสบความสำเร็จหลายสาขามากอย่างทฤษฎีจำนวนและการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชัน ฉันไม่เข้าใจทฤษฎีจำนวน แต่เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ของฟังก์ชันกับพีชคณิตมีประโยชน์ต่อการวิจัยฟิสิกส์เชิงทฤษฎี เนื่องจากเธอเลือกฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์เป็นทิศทางการวิจัยหลัก งั้นคำแนะนำของฉันก็คือให้ไปฟังบรรยายฟิสิกส์สักสองสามคาบ ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท หรือไปอ่านเอาเองก็ได้ ด้วยวิธีนี้เธอจะสามารถเติมเต็มช่องว่างความรู้วิชาฟิสิกส์ของตัวเองได้”
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เอ้อ เธอตีพิมพ์วิทยานิพนธ์รึยัง?”
ลู่โจวตอบ “ผมส่งไปยังวารสาร[Progress in Theory and Mathematical Physics]แล้วครับ”
วิทยานิพนธ์พึ่งผ่านกระบวนการตรวจสอบและตอนนี้ก็เข้าสู่ขั้นตอนพิชญพิจารณ์แล้ว
มันอาจผ่านในเดือนนี้หรือเดือนหน้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ไม่ว่ายังไงวารสารก็ออกทุกสองเดือน ดังนั้นมันจึงใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนกว่าเขาจะได้เห็นวิทยานิพนธ์ของตน
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนพยักหน้า “ฉันสมัครสมาชิกวารสารนี้เหมือนกัน มันเป็นวารสารที่ดี ฉันอ่านวิทยานิพนธ์ของเธอแล้ว แนวคิดที่เธอนำเสนอไม่เลวเลย ถ้าผู้ตรวจสอบมีส่วนร่วมในงานวิจัยกลศาสตร์ควอนตัม พวกเขาจะเห็นคุณค่าทางวิชาการของวิทยานิพนธ์แน่นอน มันอาจจะได้รับการยอมรับ”
ศาสตราจารย์กล่าวต่อ “ฉันอยากให้คุณสมบัติจบปริญญาโทของเธอแตกต่างจากคนอื่นมาก ถ้าเธออยากจบการศึกษา เธอก็ต้องตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ SCI อย่างน้อยสองฉบับในสาขาฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์”
ลู่โจวถามทันที “ฉบับนี้นับไหมครับ?”
ถ้านับ เขาก็ต้องส่งวิทยานิพนธ์ SCI อีกฉบับเดียวเท่านั้น
จากนั้นเขาก็อาจได้ปริญญาโทในสิ้นปี
หวังว่านะ
ศาสตราจารย์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “นับ แต่อย่ารีบร้อนจบการศึกษานัก เธอยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ทำโปรเจกต์ให้มากๆ แล้วสะสมประสบการณ์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ฉันได้ดูแผนพัฒนาความสามารถที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้เธอแล้ว ดังนั้นฉันจะให้เธอจบการศึกษาในปีหน้า”
เขาบอกเป็นนัยๆ ว่าตราบใดที่ลู่โจวบรรลุเงื่อนไข เขาจะยอมให้ลู่โจวจบในปีหน้า แต่ไม่มีเร็วกว่านั้นแน่นอน
น่าอาย ลู่โจวยิ้ม
เขาอยากได้ปริญญาโทไวๆ แต่ที่ปรึกษาเขาพูดแบบนั้น เขาก็ไม่ดื้อรั้นอีก
ไม่ว่ายังไงปีนึงก็ไม่นานนัก แถมเขายังสามารถทำโปรเจกต์กับนักวิชาการได้อีก
“เรื่องโปรแกรมฝึกอบรม ฉันทำตารางเรียนให้เธอแล้ว แค่เรียนตามตารางก็พอ นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องนึง”
ศาสตราจารย์หยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เธออาจรู้ว่าฉันเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่ม LHC[1] ประเทศจีน ‘เพนตาควาร์ก’ได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแล้ว”
“ตอนนี้การอัพเกรดเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนที่ยุโรปเสร็จแล้ว หวังว่าการทดลองจะเริ่มต้นใหม่หลังประชุมเดือนพฤษภา ฉันจะได้ไปศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ยุโรปในสวิสตอนปลายเดือนเมษาเพื่อเข้าร่วมงานประชุม”
ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ถ้าเธอผ่านการทดสอบของฉันในเดือนเมษา ฉันอาจจะพาเธอไปด้วย”
ทฤษฎีของเพนตาควาร์กถูกเสนอครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซียปีหนึ่งเก้าเก้าเจ็ดอย่างไรก็ตามแม้แต่โปลิคอฟที่เสนอทฤษฎีนี้ก็ยังสงสัยว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงหรือไม่
ประมาณปีสองศูนย์ศูนย์สามในการทดลองบนสปริง-8(spring-8)ของศูนย์รังสีซิงโครตรอนมหาวิทยาลัยโอซากะ การดำรงอยู่ของเพนตาควาร์กถูกสังเกตเห็นเพียงเวลาสั้นๆเท่านั้น อย่างไรก็ตามในการเร่งอนุภาคไม่พบหลักฐานอะไรเลย ดังนั้นเรื่องที่ควาร์กมีอยู่จริงหรือไม่นั้นเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาอยู่เสมอ
ในปีสองศูนย์หนึ่งสามกลุ่มการร่วมมือระหว่างประเทศ BESIII ที่นำโดยประเทศจีนได้ค้นพบเตตราควาร์กในการทดลองเร่งอนุภาคเซี่ยงไฮ้ การทดลองเกี่ยวกับเตตราควาร์กกำลังจะถูกดำเนินการโดยกลุ่มการร่วมมือระหว่างประเทศ LHCb
ถ้าสิ่งที่ศาสตราจารย์หรูเสินเจียนพูดเป็นจริง ลู่โจวจะได้เป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์
ลู่โจวอยากไปงานประชุมนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จากน้ำเสียงของศาสตราจารย์ สอบเดือนเมษาต้องยากแน่
ลู่โจวกระแอม “ศาสตราจารย์ อย่างน้อยก็บอกแนวทางสอบผมหน่อยได้ไหม?”
“แนวทาง? ได้สิ” ศาสตราจารย์หรูกล่าว เขายิ้ม “แนวทางคือฟิสิกส์ของอนุภาค ไปอ่านดูนะ”
ลู่โจว “???”
บัดซบ นี่เป็นแนวทางแบบไหนกันเนี่ย?
บอกแบบนี้มันต่างจากไม่บอกตรงไหน?
……………………………..
[1] Large Hadron Collider-เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ่