ลู่โจวอ่านเรซูเม่ต่อแล้วพบว่ามหาลัยอเมริกามีการแข่งขันแค่ไหน
อ่านสิบเรซูเม่ติดยังไม่พบใครเลยที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่าสามจุดเจ็ดนั่นคือ A เชียวนะ!
ถ้าเป็นในจีนสามจุดห้าก็ถือเป็นอัจฉริยะแล้ว
แม้ว่านักศึกษาไม่ได้เรื่องจะไม่กล้าสมัครพรินซ์ตัน แต่เรซูเม่พวกนี้ดีเกินไปแล้ว
มันเหมือนกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าทุกคนได้คะแนนสูง งั้นมันก็จะไม่มีใครได้คะแนนสูงอีกต่อไป…
เนื่องจากผลการเรียนไม่มีความหมายอะไรเลย ลู่โจวจึงได้แต่ดูความสำเร็จอื่น
นักศึกษาที่มีประสบการณ์เขียนวิทยานิพนธ์และประสบการณ์วิจัยนั้นเป็นที่ต้องการ ลู่โจวไม่สนใจงานสังคม กีฬา และจดหมายแนะนำ แม้ศาสตราจารย์ชาวอเมริกาส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ลู่โจวก็มีวิธีตัดสินของตัวเอง
สุดท้ายหลังจากผ่านการพิจารณา เขาก็เลือกมาสิบเรซูเม่ ทุกคนล้วนเก่งรอบด้าน
เขาชอบเวร่า พุลยุยจากเบิร์กลีย์ที่สุด
ผู้ชนะเหรียญทอง IMO ก็ไปได้ทุกมหาลัยแล้ว แถมเขายังเคยได้คุยกับเด็กคนนี้ที่เบิร์กลีย์มาก่อน เขามีความประทับใจที่ดีต่อเธอ
อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่คิดเลยว่าเธอจะจบการศึกษาตั้งแต่อายุเท่านี้
บางทีเธออาจเป็นเถาเจ๋อเซวียนคนถัดไป?
ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งในสามจดหมายแนะนำมาจากเถาเจ๋อเซวียนที่เป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาลัยแคลิฟอร์เนีย
เอาง่ายๆ ก็คือ ลู่โจวเก็บเรซูเม่นี้ไว้
เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกของลู่โจว เขาจึงวางแผนรับนักศึกษาปริญญาโทสักสามคน จากนั้นแต่ละเทอมเขาก็จะตัดสินใจว่าเขาอยากรับเพิ่มไหม ถ้านักศึกษาแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนวิจัยที่ต่างกัน มันคงลำบากต่อเขาเหมือนกัน
ที่หนึ่งมอบให้ผู้ชนะเหรียญทอง IMO เวร่าแล้ว ดังนั้นจึงเหลืออีกสองที่ต่อเก้าเรซูเม่
เพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยวถงมากวน ลู่โจวจึงจัดสัมภาษณ์ทั้งหมดตอนเช้า
เสี่ยวถงไม่มีทางตื่นแต่เช้าตรู่
ก่อนเที่ยงงั้นเหรอ?
เป็นไปไม่ได้
การสัมภาษณ์รอบแรกๆ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีน แน่นอนว่าเขาจะรับนักศึกษาจีนอย่างน้อยหนึ่งคน ถ้าเขาทำได้ เขาจะเก็บที่นี้ไว้ให้เพื่อนร่วมมหาลัยจากมหาลัยจินหลิง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงศึกษาต่อต่างประเทศ
ลู่โจวเปิดสไกป์แล้วเริ่มสัมภาษณ์คนแรก
ผู้สัมภาษณ์คนแรกรับสายเขาตามเวลาที่กำหนด
หญิงสาวหน้าม้าสวมแว่นตากลมปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอดูสวยสง่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก
ลู่โจวอ่านเรซูเม่ของเธอแล้วกระแอม
“เหลียงชูหยู่ ใช่ไหม?”
เหลียงชูหยู่ยิ้ม เธอไม่ได้เกรงกลัวต่อออร่าเทพลู่ เธอพยักหน้าและกล่าว “ใช่!”
ลู่โจว “คุณวางแผนจะทำอะไรหลังจบการศึกษา?”
เหลียงชูหยู่กล่าว “ฉันวางแผนเรียนปริญญาเอก หลังจากนั้นฉันอยากทำวิจัยวิทยาศาสตร์ ฉันยังมีผลงานช่วยโลกวิทยาศาสตร์…”
ลู่โจวมองมุมขวาล่างของหน้าจอ เขาสังเกตเห็นว่าเธอพูดมาสามนาทีแล้ว
ลู่โจวมองเธอแปลกๆ แล้วถาม “แล้ว ทำไมคุณถึงเลือกจำนวนล่ะ?”
มันไม่แปลกใจเลยที่เขาจะได้รับคำตอบมาตรฐาน
“ฉันอ่านทฤษฎีจำนวนเฉพาะของฮั่วหลัวเกิง และข้อแนะนำทฤษฎีจำนวนของโจเซฟ เอช ซิลเวอร์แมน ตั้งแต่มหาลัย ฉันก็สนใจในสาขาทฤษฎีจำนวนอย่างมาก หลังจากฉันเห็ณคุณแก้ข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัคบนเวที และได้รับรางวัลคลอฟอร์ด ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นมาก จากนั้นมา ฉันก็ตัดสินใจติดตามคุณและเพื่อสำรวจความลึกลับของจำนวนเฉพาะ”
ลู่โจวรู้สึกเขินกับคำชมอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็กล่าว “งั้นอธิบายวิธีสร้างองค์ประกอบกรุปพอสมสังเขป…”
ถ้าคุณนับถือฉันมากขนาดนี้ งั้นคำถามนี้ก็ควรไม่ยาก
อย่างไรก็ตามมีเรื่องน่ากระอักกระอ่วนเกิดขึ้น
หญิงสาวอึ้งกับคำถามนี้
อย่างไรก็ตามเธอตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้เข้าประเด็นสำคัญเลย
เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมตัวมาดีและทำเหมือนกับเธอสนใจลู่โจว แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าใจผลงานของเขาเลย
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเธอรู้ทฤษฎีของลู่โจวทั้งหมด งั้นลู่โจวก็ไม่มีอะไรสอนเธอสิ
อย่างไรก็ตามหนึ่งในความต้องการของลู่โจวคือความสื่อสัตย์
เขาอยากได้นักศึกษาที่เป็นอัจฉริยะและจริงใจ
ลู่โจวลอบถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอบอุ่น “คุณไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บางเรื่องก็ลึกลับ มันอาจยากสำหรับคุณ จบตรงนี้กันเถอะ ไว้ฉันจะบอกผลลัพธ์คุณสัปดาห์หน้า”
แววตาของเหลียงชูหยู่เปล่งประกาย เธอคิวว่าตัวเองมีโอกาสสูง ดังนั้นเธอจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะศาสตราจารย์”
วีดีโอคอลจบลงแล้ว
ลู่โจวกาเรซูมี่แล้ววางไว้
ไม่มีโอกาส
ช่วงสัมภาษณ์ที่เหลือทำให้เขานึกถึงประธานหลินจากสภานักศึกษาขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกลียดประธานหลิน แต่เขาก็ไม่อยากมีศิษย์แบบเธออยู่ในห้องแล็บ
ส่วนแรงจูงใจในการเอาใบปริญญา ลู่โจวเดาว่าเธอคงอยากมาพรินซ์ตันเพื่อประดับวุฒิ จากนั้นเธอก็จะกลับจีนแล้วเข้าร่วมโครงการหมื่นอัจฉริยะ
พูดตามตรง ลู่โจวอยากพูดไปว่า ถ้าคุณจะเข้าการเมือง งั้นก็ไปเป็นนักการเมืองนู่น อย่ามาหาฉัน
มีนักวิชาการจีนอยู่พรินซ์ตันน้อยมาก ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงมีค่า!
ลู่โจวรอสักครู่ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์คนที่สอง
คนสัมภาษณ์คนนี้เป็นผู้ชาย
น่าเสียดายลู่โจวไม่ได้รับใบสมัครแม้แต่ใบเดียวที่มาจากนักศึกษามหาลัยจินหลิง
ลู่โจวกระแอมแล้วกล่าว “ฉินเยว่ใช่ไหม?”
เฉินเยว่รีบพยักหน้าแล้วตะบอย่างกระวนกระวาย “ครับ!”
ลู่โจวมองสีหน้ากระสับกระส่ายของฉินเยว่และรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นเศษเหลือ
ความสื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบแรกในการสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตามแค่ความซื่อสัตย์มันยังไม่พอ การสัมภาษณ์ยังต้องการความสามารถในการแสดงความสามารถของตนเองด้วย
ไม่งั้นพวกเขาก็คงไม่อาจพรีเซนต์ผลงานวิชาการบนเวที มันจะเสียเวลาฝึกพวกเขา
อย่างไรก็ตามลู่โจวตัดสินใจให้โอกาสอีกฝ่าย ส่วนใหญ่เป็นเพราะผลการเรียนคนๆ นี้ไม่เลวเลย
สิ่งที่หายากก็คือชายคนนี้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ตอนปริญญาตรี แม้ว่ามันจะเป็นวิทยานิพนธ์ธรรมดา แต่สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี มันค่อนข้างน่าประทับใจ
ลู่โจวกล่าว “แนะนำตัว”
ฉินเยว่ยืนตัวตรงแล้วกล่าวอย่างประหม่า “ผมฉินเยว่ อายุยี่สิบสามปี…”
แม้ว่าตอนแรกเขาจะพูดติดๆ ขัดๆ แต่ตอนท้ายเขาก็ดีขึ้น จากนั้นลู่โจวก็ถามเทคนิคนิดหน่อยเพื่อทดสอบความรู้ในสาขาทฤษฎีจำนวน
ปกติ ชายคนนี้เป็นนักศึกษาที่มีพรสวรรค์มากและมีนิสัยไม่เลว แม้ลู่โจวจะคิดว่าเขาเป็นคนขี้อายไปนิด แต่ความมั่นใจสร้างกันได้
เมื่อลู่โจวเห็นว่าเวลาใกล้หมดแล้ว เขาจึงถาม “จบการสัมภาษณ์แล้ว ผมจะเมลไปบอกผลลัพธ์ในหนึ่งสัปดาห์”
เมื่อฉินเยว่ได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกโล่งอก จากนั้นเขาก็พยักหน้าและขอบคุณลู่โจว
ลู่โจวมองรอยยิ้มขมขื่นของฉินเยว่และคิดว่าฉินเยว่ไม่หวังให้ตัวเองด้วยซ้ำ
หลังลู่โจวปิดวีดีโอคอล เขาก็หยุดปากกาอยู่ที่เรซูเม่ของฉินเยว่
ฉันควรเก็บเขาไว้ไหม?
สุดท้ายเขาก็ไม่ขีดฆ่า เขาเขียนความเห็นง่ายๆ แล้ววางไว้ข้างๆ
ยังมีคนมาสัมภาษณ์อีกมาก เขาอยากเลือกหลังจากสัมภาษณ์ครบทุกคน
………………………………….