หลิวหงจนปัญญา
เขารู้วิธีทดลอง เขารู้วิธีเลียเท้าเจ้านาย แต่อีคิวของเขาไม่สูงพอที่จะ’สอดแนมศัตรู’
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย
ถ้าอาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้เขาไปทำความสะอาดห้องน้ำ เขาจะทำแน่
อย่างไรก็ตามหวังไห่เฟิงยังคง ‘ใจกว้าง’ เพราะเขาจ่ายค่าตั๋วรถไฟให้เขามาจินหลิง
มีหลายวิธีในการตรวจสอบความคืบหน้างานวิจัยของสถาบันวิจัย ยกตัวอย่างเช่น วิธีที่ง่ายที่สุดและป่าเถื่อนที่สุดก็คือการแย่งตัวคนของศัตรูมาโดยเสนอมอบเงินเดือนสามเท่าให้ แม้ว่ามันจะฟังดูผิดจรรยาบรรณ แต่มันก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด
อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีราคาแพงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเงินทุนวิจัยจะใช้จ่ายนักวิจัยได้ แต่การมีเงินเดือนสูงจะทำให้นักลงทุนตื่นตัว เงินทุนวิจัยไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่อยากเสียเงินของตัวเองไปอย่างเสียเปล่าให้กับพนักงานที่ได้ค่าจ้างมากไป
นอกจากนี้ ไม่ได้มีใครโง่พอที่จะไปจากลู่โจว
นักวิชาการระดับ’รางวัลโนเบล’ระดับโลกน่าดึงดูดมากกว่าหวังไห่เฟิง ดังนั้นหวังไห่เฟิงจึงไม่ได้พิจารณาวิธีนี้เลย กลับกันเขาให้หลิวหงมาสืบแทน
พูดตามตรง นี่เป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพและโง่ที่สุด
หลิวหงอยู่ที่สถาบันวิจัยวัสดุเชิงคำนวณ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นี้ให้สำเร็จได้อย่างไรดี แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนตะโกนเรียกเขา
“เฮ้ คุณมาทำอะไรที่นี่?”
หลิวหงตกใจกับเสียงเรียก เขาหันไปมองแล้วเห็นนักศึกษาปริญญาเอกที่เหมือนทำงานที่นี่อยู่ข้างหลัง
“ผม…”
หลิวหงพยายามหาข้อแก้ตัว แต่แล้วอีกฝ่ายก็ถามเขา “คุณมาสมัครงานเหรอ?”
หลิวหงพยักหน้าทันที “ใช่ๆ! ผมมาสมัครงานตำแหน่งนักวิจัย”
นักศึกษาปริญญาเอกยิ้ม “คุณมาทำงานที่นี่จริงเหรอ? ที่นี่ไม่ได้สมัครได้ง่ายๆ คุณมีวุฒิอะไร? คุณเอาประวัติส่วนตัวมาด้วยไหม?”
หลิวหงยิ้มและหาข้อแก้ตัว “ดอกเตอร์จากมหาลัยจื่อ…ผมไม่ได้เอาประวัติมา ผมแค่มาดูก่อน แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ”
“มหาวิทยาลัยจื่อ ไม่เลว ไม่เลว สาขาวัสดุของมหาวิทยาลัยจื่อค่อนข้างแข็งแกร่ง” นักศึกษาปริญญาเอกพยักหน้า “แต่มันยังไม่แกร่งเท่าเรา”
หลิวหงอยากกดด่านักศึกษาปริญญาเอกตรงหน้า แต่เขาจำภารกิจของตนเองได้ เขาจึงกลืนคำพูดของตน
เขารีบเปลี่ยนหัวข้อ
“ผลประโยชน์ของที่นี่เป็นไงครับ?”
นักศึกษาปริญญาเอกมองหลิวหงด้วยความสงสัยแล้วคิดว่าทำไมหลิวหงถึงไม่ดูใบรับสมัครงานล่ะ ผลประโยชน์ล้วนมีเขียนไว้หมด
อย่างไรก็ตามนักศึกษาปริญญาเอกคนนี้ก็ยังตอบคำถามเขา
“ตำแหน่งต่างกัน เงินเดือนก็ต่างกัน ปริญญาเอกจากมหาลัยจื่อ…อาจจะได้หนึ่งหมื่นสองพันหยวนต่อเดือน ส่วนเงินทุนวิจัยและรางวัลสิทธิบัตร มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ”
หนึ่งหมื่นสองพันหยวน?!
เมื่อหลิวหงได้ยินตัวเลขนี้ เขาก็ก่นด่าในใจ
หนึ่งแสนหยวนต่อปีนั้นไม่สูงสำหรับโปรแกรมเมอร์ แต่วัสดุศาสตร์นั้นต่างกัน
นักศึกษาวัสดุศาสตร์มักจะถูกเล่ามาอย่าง’จบวัสดุศาสตร์หางานไม่ได้’หรือ’มาเป็นนักขายแทนไหม?’
“…เงินเดือนดีขนาดนั้นเลย?” หลิวหงตกใจ
“เงินเดือนเป็นเรื่องรอง มันไม่ใช่ส่วนหลัก” นักศึกษาปริญญาเอกกล่าว “นักวิจัยของเราไม่ได้มองแค่เงิน เจ้านายของเราคือเทพลู่ เขาเป็นผู้ชนะรางวัลเคมีอดัมส์ ผู้รับผิดชอบอันดับสองของเราก็สุดยอดเหมือนกัน เขาจบปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ใครจะไม่อยากทำงานกับเหล่าแนวหน้ากลุ่มนี้ล่ะ?”
แนวหน้ากลุ่มนี้สุดยอดจริงๆ
แค่เงินเดือนครึ่งนึง เขาก็ยอมมาทำงานที่นี่แล้ว…ตอนนี้เขาได้เงินเดือนแค่สามพันหยวนต่อเดือนเท่านั้น
หลิวหงกลืนน้ำลาย จู่ๆ เขาก็รู้สึกอิจฉาสุดใจ
คนเราย่อมชอบเปรียบเทียบกับผู้อื่นเสมอ
เขาจำได้ว่าเขายังเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาจึงต้องยอมเป็นแรงงานถูกๆ ให้กับอาจารย์ที่ปรึกษา
ทันใดนั้นหลิวหงก็มีความคิดบ้าคลั่ง
เขายังหนุ่มแน่น เขาควรตัดสินใจเลือกทางที่มีความเสี่ยงบ้าง
เขากล่าว “ผม…มีคำถาม”
“เชิญ”
หลิวหงถาม “คุณจ้างคนวุฒิปริญญาโทไหม?”
นักศึกษาปริญญาเอกมองเขา
ฉันคิดว่าชายคนนี้จบปริญญาเอกเสียอีก?
…
สามวันหลังพิธีมอบรางวัล ลู่โจวก็ถูกแท็กทั่วเว่ยป๋อ
แฟนคลับเขาไม่พอใจที่ลู่โจวไม่ยอมแบ่งปันความสุขบนเว่ยป๋อ ดังนั้นพวกเขาจึงแท็กเขาในโพสต์ที่เกี่ยวข้อง
หัวข้อโพสต์เหล่านั้นเผ็ดร้อนมาก
[ผู้ชนะรางวัลเคมีอดัมส์คนแรกของจีน?!]
[ช็อก! รางวัลสูงสุดในสาขาเคมีอินทรีย์ถูกมอบให้กับนักคณิตศาสตร์!]
[จาก ‘1+1’ จนกลายเป็น ‘Li+S’ ดูคนๆ นี้สิ!]
ลู่โจวดูการแจ้งเตือนแล้วตกตะลึง
เขาถูกแท็กทั้งซ้ายทั้งขวา
[เทพลู่ คุณเปลี่ยนไป คุณเลิกโม้แล้ว]
[ฉันรอเทพลู่โพสต์เว่ยป๋อมาสองวันแล้ว ฉันผิดหวังมาก]
[ฉันอ่านข่าวของเทพลู่ทั้งคืนแล้ว]
[เทพลู่ สุดยอด]
[…]
ลู่โจวอ่านความคิดเห็นเหล่านี้แล้วรู้สึกงงงวย
พูดตามตรง เขาไม่อยากคุยโม้เลย
อย่างไรก็ตามแฟนคลับเขาชอบทำให้เขาลำบากใจ
สุดท้ายลู่โจวก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วถ่ายรูปเหรียญทองกับนาฬิกา เขาเขียนข้อความแล้วโพสต์ไปพร้อมกับรูปแบ่งปันความสุขให้กับแฟนคลับ
และก็มีรางวัลรีแชร์โพสต์ของเขาตามปกติ
รางวัลคือโทรศัพท์หัวเหว่ยสิบเครื่อง มันเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพดี
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจความเห็นของคนอื่นมากนัก แต่เขาก็ยังชอบของแบรนด์นี้
ลู่โจวกด ‘ส่ง’ แล้ววางโทรศัพท์ลง เขาวางแผนจะมาดูภายหลัง
ส่วนคอมคิดเห็นก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น
ศาสตราจารย์ซารอทนั่งอยู่ตรงข้ามลู่โจว เขาดื่มกาแฟไปหนึ่งอึกก่อนจะถาม “จะว่าไป คุณจองตั๋วกลับยัง?”
ลู่โจวตอบ “จองแล้ว ตั๋วอีกสามวัน”
ซารอทถาม “คุณไม่อยากเที่ยวซานฟรานซิสโกสักหน่อยเหรอ? ถ้าฉันจำไม่ผิด วันหยุดยาวยังไม่หมดไม่ใช่?”
“ฉันเป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่นักศึกษา วันหยุดฤดูใบไม้ผลิมีผลกับฉันยังไง?” ลู่โจวหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณเป็นศาสตราจารย์มหาลัยคอร์เนล คุณไม่มีสอนเหรอ?”
“ฉันมีอาจารย์คนอื่นคอยช่วย ฉันแค่ต้องไปบรรยายเป็นครั้งคราว มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศาสตราจารย์ชื่อดังจะทำงานในห้องแล็บ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในวิทยาเขตมหาวิทยาลัยคอร์เนล” ซารอทยิ้มแล้วกล่าว “นอกจากนี้ฉันชอบซานฟรานซิสโก”
ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าว “จริงเหรอ? ฉันชอบความสงบของพรินซ์ตันมากกว่า”
ซารอทได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตนเองดังขึ้น
“ฉันต้องรับสายนี้”
ซารอทหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปข้างๆ
เขาเอาโทรศัพท์แนบหูและมีสีหน้าแปลกๆ
เส้นเลือดดำเขาปูดขึ้นบนหน้าผาก
ห้านาทีต่อมา ซารอทก็คุยโทรศัพท์จบแล้วเดินกลับมา
ลู่โจวถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ซารอทกำหมัดแน่น เขาตะเบ็งเสียงอย่างแรง “เจ้าสารเลวพวกนั้น! ฉันจะฟ้องพวกมัน!”
…………………………………