สองสัปดาห์หลังการสัมภาษณ์ นิตยสารไทม์ฉบับนานาชาติประจำสัปดาห์ก็ถูกตีพิมพ์
คนที่สัมภาษณ์ในฉบับนี้ค่อนข้างพิเศษ
คนๆนี้ไม่ใช่นักการเมือง ซูเปอร์สตาร์ หรือผู้บริหาร
เขาเป็นนักวิชาการ
ประชาชนไม่ได้ให้ความสนใจกับบุคคลทางวิชาการนัก การสัมภาษณ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการมักถูกระบุว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
อย่างไรก็ตามน่าแปลกใจที่หลังจากการสัมภาษณ์ของจูเลีย เดรกออกมา บทความได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
ลู่โจวกำลังจะขึ้นเครื่องจากนิวยอร์กไปเบอร์ลิน เขายุ่งอยู่กับการเตรียมบรรยายจนเกือบลืมเรื่องสัมภาษณ์ไปเลย
แต่แล้วขณะที่เขารอเครื่องขึ้น เขาก็พลันเห็นนิตยสารบนเครื่องบิน
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจความเห็นของคนอื่นนัก แต่เขาก็ยังรู้สึกสนใจว่านิตยสารระดับโลกพูดอะไรถึงเขา
ลู่โจวพลิกนิตยสารแล้วอ่านข้อความ
[…สามปีก่อน เขาไม่มีผลการวิจัยใดๆ เลย ไม่มีเหรียญรางวัลสักเหรียญเดียว ไม่มีคนไปเยี่ยมชมห้องสมุดมหาวิทยาลัยจินหลิงราวกับศาลเจ้า นั่งอยู่ที่นั่งเก่าของเขาโดยหวังว่าจะได้รับแรงบันดาลใจ
แต่สามปีต่อมา ไม่เพียงเขาจะมีทั้งหมดนี้เท่านั้น แต่เขายังใช้คณิตศาสตร์เพื่อสร้างโลกที่แตกต่างเพื่อทุกคน
เมื่อเขายืนอยู่บนเวทีสต็อกโฮล์มคอนเสิร์ตฮอล์และได้รับรางวัลคราฟอร์ด ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับการยอมรับจากราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน เขายังได้รับการยอมรับจากทั้งโลกอีกด้วย ข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัคในที่สุดก็ถูกแก้
วันนี้ ความสำเร็จใหม่ของเขาในสาขาแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์เปลี่ยนโฉมหน้าทั้งอุตสาหกรรม ผู้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลประโยชน์จากงานวิจัยของเขาโดยตรง
มีนักวิชาการน้อยมากที่ประสบความสำเร็จเท่าเขาในวัยเท่านี้ และมีคนน้อยยิ่งกว่านั้นอีกที่ไม่หลงมัวเมาไปกับเงินหรือชื่อเสียงและรักษาความกล้าได้กล้าเสียเอาไว้
ท้ายที่สุดแล้วการเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักต้องการมากกว่าความกล้า
เมื่อเร็วๆนี้ เขาได้รับเชิญจากสถาบันมักซ์พลังค์ให้เดินไปเข้าร่วมงานประชุมที่ยุโรป เขาจะนำเสนอผลการวิจัยล่าสุดของเขาเกี่ยวกับแบบจำลองเชิงทฤษฎีของโครงสร้างพื้นผิวสัมผัสเคมีไฟฟ้าแก่ชุมชนวิชาการ
ตามที่เขาสัญญาไว้ เขาจะนิยามวิทยาศาสตร์ด้วยคณิตศาสตร์ เขาจะพยายามทำตามสัญญาเดิมของตนเอง
เขาไม่ได้เป็นแค่บุคคล แต่เป็นสัญลักษณ์ด้วย
สัญลักษณ์ของนักวิชาการรุ่นใหม่
นักวิชาการรุ่นใหม่ท่านนี้จะก่อร่างสร้างอนาคตของเรา
นิตยสารไทม์ 21/8/2018
จูเลีย เดรก]
ลู่โจวอ่านนิตยสารไทม์ฉบับนานาชาติในมือแล้วยิ้มมุมปาก
ไทม์ไม่ได้ประเมินผู้สัมภาษณ์ทุกคนในเชิงบวก พวกเขามักจะตีพิมพ์เนื้อหาเสียดสีและการวิจารณ์ อย่างไรก็ตามไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทความนี้พูดถึงเขาเชิงบวก
และลู่โจวก็พอใจกับรูปตัวเองบนปกมากที่สุด
มีสมการและตัวอักษรบนกระดานดำคล้ายกับเวทมนตร์คาถา หนังสือและเอกสารวางซ้อนกันอยู่มุมโต๊ะ มันอธิบายให้เห็นถึงตัวตนของเขาในฐานะนักคณิตศาสตร์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้เขาดูเหมือนเด็กเนิร์ดเลย
เขาสวมเสื้อยืดลายสก็อตตัวโปรด แทนที่จะเป็นศาสตราจารย์ เขาดูเหมือนนักศึกษามหาลัยทั่วๆไปมากกว่า
เขาถือชอล์กไว้ในมือขวาและถือ’เจ้าตัวเล็ก’จากชมรมโดรนพรินซ์ตันไว้มือซ้าย
ใช่ ชื่อของโดรนสี่ใบพัดคือ’เจ้าตัวเล็ก’
บางทีนิตยสารไทม์อยากใช้ใบพัดทั้งสี่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการคิดที่ไม่มีสิ้นสุดของเขา
แน่นอน ลู่โจวรู้สึกว่าทั้งหมดนี้อธิบายได้หนึ่งคำ
ใครที่ดูรูปนี้ก็จะนึกถึงคำๆ หนึ่ง
หล่อ
…
หลังบินมาหลายชั่วโมง เครื่องบินสีเงินสดใสลงจอดที่สนามบินเบอร์ลินเทเกิล
หลังจากลู่โจวลงจากเครื่องไม่นาน เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
เขาเห็นชายชราผมสีเทายื่นมือขวาออกมาแล้วเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีคุณลู่โจว ยินดีต้อนรับสู่เบอร์ลิน”
ลู่โจวปล่อยกระเป๋าเดินทางแล้วจับมือกับชายชรา
“สวัสดีครับ!”
แม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้พูดภาษาเยอรมัน แต่พวกเขาก็ยังคุยกันเป็นภาษาอังกฤษได้
หลังจากคุยกันเล็กน้อย ชายชราก็แนะนำลู่โจวให้กับนักวิชาการหลายท่านที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันเป็นประธานสถาบันมักซ์พลังค์ มาร์ติน สตราทแมน” จากนั้นสตราทแมนก็หันไปมองคนข้างๆ “นี่คือศาสตราจารย์คลัสส์ วอน คลิทซิ่ง”
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน แต่ลู่โจวก็รู้ว่าสตราทแมนคือใคร
เขาดำรงตำแหน่งประธานสถาบันมักซ์พลังค์และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเหล็กมักซ์พลังค์ที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเคมีพื้นผิว
หัวสแกนเคลวินที่เขาคิดค้นขึ้นถูกใช้กันอย่างกว้างขวางเพื่อศึกษาความลับที่ซ่อนอยู่ในวิทยาศาสตร์การกัดกร่อนอย่าง การเปิดเผยกลไกที่มีความเสถียรภาพของพื้นผิวสัมผัสโลหะ-พอลิเมอร์
ลู่โจวอ่านวิทยานิพนธ์อีกฝ่ายตอนที่ศึกษาวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณในห้องสมุด
ส่วนศาสตราจารย์คลิทซิ่ง เขามีความสำเร็จนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์เชิงทฤษฎีหรือฟิสิกส์ของสสารควบแน่น ชื่อของเขามีอยู่ทุกที่
ผลการวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาก็คือปรากฏการณ์ฮอลล์ควอนตัมซึ่งทำให้เขาชนะรางวัลโนเบลปี 1985
นอกจากคลิทซิ่ง ผู้อำนวยการสถาบันเคมีเชิงฟิสิกส์มักซ์พลังค์และศาสตราจารย์ฟาลติ่งส์ก็อยู่ด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ที่ลู่โจวพบเขาเมื่อปีที่แล้ว ฟาลติ้งส์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ชายชราชาวเยอรมันยังมีนิสัยแย่เหมือนเคย
“สวัสดี”
“สวัสดีครับ”
“เราเจอกันอีกแล้ว”
“…ใช่ครับ เราเจอกันอีกแล้ว”
ลู่โจวคิดว่าฟาลติ้งส์เป็นมิตรกับเขามากขึ้นเพราะพวกเขาเคยพบกันมาก่อน
เนื่องจากชายชราเดินทางมารับเขา ลู่โจวจึงคิดว่านี่เป็นวิธีแสดงการยอมรับที่เป็นเอกลักษณ์ของฟาลติ้งส์
ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีคนไม่มากนักที่คู่ควรได้รับการยอมรับจากฟาลติ้งส์
บนโลกนี้ นักคณิตศาสตร์ที่ชายชรานับถือสามารถนับนิ้วได้เลย
ลู่โจวคิดว่าความคิดของเขาค่อนข้างสมเหตุสมผล
……………………………….