ตอนที่ 36 พี่โจวเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
หกโมงเย็น ลู่โจวเดินไปห้องครัวแล้วสวมผ้ากันเปื้อนก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหาร นี่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง สาวน้อยคนนี้ตามเขาเข้ามาดูในครัวเช่นกัน เหมือนเธอจะสนใจมาก
ในครัวมีอาหารสดที่คุณหยางซื้อไว้ด้วย
มันมีเต้าหู้ สันในหมูและผักสด ไม่เพียงเท่านั้น เกลือกับเครื่องเทศที่ถูกใช้ไปเกือบหมดก็ถูกเติมด้วย
ดูเหมือนว่าคุณหยางจะยอมให้เขาใช้ห้องครัวของเธอ เพราะยังไงเสียเธอก็คงไม่อยากให้ลูกสาวทานอาหารขยะและซื้อกลับบ้านทุกวัน
แต่…
ทำไมเธอไม่จ้างแม่บ้าน?
มันไม่ได้รบกวนลู่โจว เขามีความสุขที่ได้ทานอาหารบ้านลูกค้า เพราะเขาไม่ต้องเสียเงิน ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทำอาหาร เขาก็ถามหานเมิ่งฉีก่อนว่าเธอทานเผ็ดได้ไหม
หานเมิ่งฉีถาม “นายเคยเป็นครูสอนพิเศษมาก่อนงั้นเหรอ?”
ลู่โจวตอบขณะเทน้ำมันลงหม้อ “นี่เป็นครั้งแรกของผม”
แววตาของหานเมิ่งฉีเบิกกว้าง เธอคาดไม่ถึงกับคำตอบเขาเลย “จริงเหรอ? ฉันคิดว่านายสอนค่อนข้างดีเลย”
“เธอคิดแบบนั้นงั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นเพราะผมเคยสอนน้องสาวเป็นครั้งคราว” ลู่โจวกล่าว เขาผัดเนื้อสับ ใส่เต้าหู้ เพิ่มน้ำแล้วปิดฝาหม้อ จากนั้นเขาก็เปิดไฟเพื่อเคี่ยวแล้วไปสับมะเขือเทศ
เขากำลังทำเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ส่วนมะเขือเทศ เขาเตรียมเอามาทำไข่เจียวใส่มะเขือเทศ
“นายมีน้องสาวด้วยเหรอ?” หานเมิ่งฉีถามอย่างแปลกใจ จากนั้นเธอก็กล่าวเสริม “เธออายุเท่าไหร่?”
“อายุเท่าเธอ ตอนนี้อยู่ ม.4 แล้ว เธอจะขึ้น ม.5 หลังซัมเมอร์นี้”
หานเมิ่งฉีจมูกกระตุกเล็กน้อย เธออิจฉาและถอนหายใจ
“ฉันอิจฉามาก…”
“เธอจะอิจฉาทำไม? น้องสาวน่ารำคาญมาก”
หานเมิ่งฉีเงยหน้าแล้วถาม “นายเกลียดน้องสาวเหรอ?”
ลู่โจวคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ เธอเป็นครอบครัวของผม ผมจะเกลียดเธอทำไม?”
เขายังไม่ได้พูดถึงว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ควรรักครอบครัวของตน
“ฉันยังอิจฉาอยู่ดี…” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอบุ้ยปาก “ฉันอยากมีพี่ชาย”
อะไรนะ? บางทีเธออยากเป็นตัวสร้างปัญหางั้นเหรอ?
ลู่โจวกลอกตา
หานเมิ่งฉียืนอยู่ข้างเขา เธอมองดูหม้อที่กำลังเดือดและไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเธอก็ถามด้วยความสงสัย “ถ้าพ่อแม่หย่ากัน พวกเขาจะยังมีพี่ชายให้ฉันไหม?”
ลู่โจวคิดแล้วตอบ “ผมไม่รู้…แม้ว่าพวกเขาจะมี มันก็คงเป็นน้องชาย”
จะว่าไป ทำไมเธอถึงตั้งหน้าตั้งตารอวันหย่าของพ่อแม่?
มันอธิบายไม่ได้
หานเมิ่งฉีหน้าแดงแล้วตระหนักว่าเธอถามคำถามโง่ๆ เธอแลบลิ้นออกมาแล้วไม่ได้พูดอะไร
ลู่โจววางข้าวไว้บนโต๊ะ ครั้งนี้เขาหุงข้าวสามถ้วย พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าข้าวจะไม่พอให้กิน
หานเมิ่งฉีนั่งบนโต๊ะกินข้าวแล้วเริ่มกินเต้าหู้ผัดพริกเฉสวน หน้าผากเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ คอของเธอเปียกจนเป็นไอ แต่เธอก็ไม่ได้บ่นและทานอย่างมีความสุข
ลู่โจวมองดูสาวน้อยคนนี้ เขายิ้มแล้วกล่าว “เธอเหมือนลูกพี่ลูกน้องเลย พวกเธอชอบกินเผ็ดเหมือนกัน”
หานเมิ่งฉีเปิดปากแล้วกำลังจะทานต่อ แต่แล้วเธอก็วางช้อนลงแล้วเงยหน้าขึ้น “อะไรนะ? ลูกพี่ลูกน้องฉันไม่ชอบกินเผ็ด”
ลู่โจว “???”
หานเมิ่งฉีเงยหน้าด้วยความรู้สึกสับสน เธอถามลู่โจว “ทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไร?” ลู่โจวตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ครั้งหน้าฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเป็นการขอโทษ…
พวกเขาทานอาหารกันเสร็จแล้วลู่โจวก็ทำความสะอาดโต๊ะ เขาเตือนหานเมิ่งฉีให้ระวังตัวเมื่ออยู่คนเดียวแล้วเขาก็จากไป
เขาเรียกแท็กซี่ด้านนอกแล้วกลับไปมหาลัย
ขณะที่ลู่โจวกำลังลงรถอยู่หน้ามหาลัย เขาก็ได้รับข้อความวีแชทจากคุณหยาง
[ได้รับโอน : 1000]
นอกจากนี้…
[หยางตันยวิ๋น : ขอบคุณ]
ลู่โจวเห็นข้อความขอบคุณแล้วชะงัก เขายิ้มแล้วพิมพ์ตอบ [ด้วยความยินดี]
เขากำลังจะเอาโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋า แต่แล้วจู่ๆก็มีสายเข้า
เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหลิวรุ่ยโทรมา ลู่โจวก็หัวเราะ เขาคิดว่าหลิวรุ่ยต้องลืมกุญแจห้องแน่ เขาจึงรับสาย
อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังจะหยอกเจ้าหนูนี่ ก็มีเสียงที่ร้อนรนดังขึ้นมา
“พี่ใหญ่โจว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
…..
หลิวรุ่ยแจ้งลู่โจวทันที
หลิวรุ่ยบางครั้งก็ค่อนข้างหยิ่ง แต่เขาไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย ดังนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจทนอยู่กับเขา
สิ่งสำคัญก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ลู่โจวกลับหอพัก เขาหยิบโทรศัพท์ของหลิวรุ่ยขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านบทความ
[ในหัวข้อนักวิชาการมหาลัยจีนสมัยใหม่ : เริ่มต้นจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาตรี]
บทความนี้พูดถึงสถานการณ์โดยรวมของนักวิชาการจีน ตั้งแต่คณิตศาสตร์ไปจนถึงฟิสิกส์ ตั้งแต่วิทยาการคอมพิวเตอร์ไปจนถึงปรัชญา ประโยคสุดท้ายพูดถึงว่าทำไมประเทศจีนถึงไม่สร้างนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างไอน์สไตน์กับนิวตัน
ใครก็ตามที่เขียนบทความจะรู้ว่ายิ่งคำถามเปิดกว้างเท่าไหร่ มันก็มีเรื่องเหลวไหลให้เขียนมากเท่านั้น มันไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการตอบคำถามด้วยซ้ำ
จากนั้นบทความก็วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าทางวิชาการของการลงวิทยานิพนธ์SCI 9 ฉบับในวารสารเดียว มันแสดงให้เห็นว่านักศึกษาปริญญาตรีคนนี้เป็น’มะเร็งโลกวิชาการ’ที่ไม่รู้อะไรเลย
ถูกต้อง พวกเขาใช้คำว่า’มะเร็งโลกวิชาการ’จริงๆ
สุดท้ายมันก็กล่าวว่านักศึกษาปริญญาตรีคนนี้มาจากมหาลัยจินหลิงและมีแซ่ว่าโจว
ผู้เขียนเป็นนักวิจารณ์ทางการศึกษา นักเขียนงานวิทยาศาสตร์และเป็นนักวิชาการที่โด่งดัง เขากระทั่งมีเครื่องหมาย’ยืนยันตัวตน’อยู่ข้างรูปโปรไฟล์เขา
ชายคนนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน
อย่างไรก็ตาม…
ลู่โจวสับสน
หมอนี่เป็นใคร?
ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?
ฉันเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยความสามารถของตน ทำไมฉันไม่ควรนำไปตีพิมพ์? มันส่งผลกระทบกับคุณยังไง?
หลิวรุ่ยไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เขาหัวเราะแล้วกล่าว “นายเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ตอนไหนกัน? แล้วนายส่งSCIเมื่อไหร่?”
เขายังมีคำพูดที่เขาคิดแต่ยังไม่ได้พูดก็คือ ‘ฉันจะลองส่งบ้าง’
“ฉันเรียนรู้มันตอนดูหนัง! ทำไม?” ลู่โจวตอบด้วยความโกรธขณะถลึงตามองเขา
หลิวรุ่ยเห็นว่าลู่โจวโกรธ เขาจึงหุบปาก
ลู่โจวสูดหายใจ เมื่อเขาสงบใจตนเองแล้วถาม “นายเห็นจากไหน?”
เขาไม่เชื่อว่าเจ้าหนูนี่จะเบื่อถึงขนาดติดตามไอ้พวกนักวิจารณ์ทางการศึกษา
“นักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากกลุ่มฝึกสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์โพสต์มันแล้วฉันเห็น…แต่ฉันไม่ได้โพสต์มันในหน้าฟี้ดข่าวฉัน!” หลิวรุ่ยอธิบาย
ความอิจฉายังไงก็คืออิจฉา เพียงเพราะเขาเป็นคู่แข่งไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนชั่วร้าย ลู่โจวรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาจะไม่แทงข้างหลังเขา
ลู่โจวไม่ได้ตอบและอ่านเว่ยป๋อต่อ
หลิวรุ่ยเห็นว่าลู่โจวไม่ได้พูดอะไร เขาจึงถาม “เราจะทำยังไง?”
ลู่โจวไม่รู้เช่นกัน เขาไม่มีบัญชีเว่ยป๋อด้วยซ้ำ เขาเคยได้ยินเว่ยป๋อมาก่อน แต่เขาไม่เคยสมัคร
ลู่โจว “ด่าเขาให้ฉันที”
หลิวรุ่ย “ด่าเพื่อ? เดี๋ยว ทำไมนายไม่ไปด่าเองล่ะ?”
ลู่โจว “ฉันไม่มีบัญชีเว่ยป๋อ”
หลิวรุ่ย “…”
สุดท้ายหลิวรุ่ยกับลู่โจวก็ตัดสินใจไม่สนใจขยะนี้
ใครจะสนล่ะว่าแกจะวิจารณ์ฉันไหม?
เด็กน้อย ฉันจะไม่ตอบโต้แก แกเล่นไปเองเถอะ! ใครจะสนใจแกกัน!
จากนั้นลู่โจวก็ถือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คแล้วไปห้องสมุด
อย่างไรก็ตามเขาคิดง่ายเกินไป
เขาไม่ใช่แค่ลู่โจวเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักศึกษาของมหาลัยจินหลิงเช่นกัน…