เอกสารที่เผยแพร่ต่อสาธารณะได้ถูกคัดเลือกอย่างระมัดระวัง
ลู่โจวหวังว่าจะได้เห็นแนวคิดเดิมที่ไลแมน สปิตเซอร์มีต่อสเตลล่าร์เรเตอร์
เขาอยากสร้างแบบจำลองเชิงทฤษฎีจากมุมมองนักฟิสิกส์ด้วยเช่นกัน
“ต้นฉบับของไลแมน สปิตเซอร์?” เอ็ดเวิร์ด วิตเตนลูบคาง “ฉันไม่ได้สนใจสาขาวิจัยของเขา ฉันคิดว่าเขาคงบริจาคต้นฉบับให้สถาบันการศึกษาขั้นสูง บางอย่างก็ถูกเก็บไว้ในห้องสมุดไฟร์สโตน ถ้าคุณสนใจ คุณอาจหาเจอที่ห้องสมุดไฟร์สโตน”
ลู่โจวกล่าว “ห้องสมุดไฟร์สโตน? ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร” วิตเตนยิ้ม “อันที่จริง ถ้าคุณสนใจสเตลล่าร์เรเตอร์ ทำไมคุณไม่ปรึกษาสถาบันวิจัยอื่นล่ะ? ที่พรินซ์ตันไม่มีใครวิจัยสิ่งนี้เลย แต่ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์สแตนฟอร์ด แคลเทค มีมากเลยทีเดียวที่วิจัยสิ่งนี้”
ลู่โจวกล่าว “ถ้าจำเป็น ผมจะลองพิจารณาดู แต่จนถึงตอนนั้น ผมแค่อยากทำวิจัยของตัวเอง”
หัวข้อนิวเคลียร์ฟิวชั่นนั้นกว้างเกินไป แค่โครงร่างโปรเจกต์วิจัยก็ต้องเขียนไปห้าหน้าแล้ว
ในแง่หนึ่ง เหตุผลที่ทำไมลู่โจวถึงอยากได้ต้นฉบับของไลแมน สปิตเซอร์ก็คือ เขาหวังว่าเขาจะได้แรงบันดาลใจจากมัน
วิตเตนจิบกาแฟต่อ “ฉันหวังว่าคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการนะ”
“ขอบคุณครับ”
ลู่โจวบอกลาวิตเตนแล้วเดินออกไปจากสถาบันการศึกษาขั้นสูง
…
มีคนประเภทหนึ่งในชุมชนวิชาการที่เข้าร่วมงานวิจัยที่เคร่งครัด แต่ก็ยังรักษาความคิดสร้างสรรค์เอาไว้ได้
เมื่อพวกเขาเจอปัญหา แทนที่จะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะลองมองมันจากมุมมองวิทยาศาสตร์
ไลแมน สปิตเซอร์เป็นคนแบบนั้น
นอกจากเขา ฟรีแมน ไดสันผู้เสนอทรงกลมไดสัน และคอนสตันติน ซีออลคอฟสกีผู้เสนอลิฟต์อวกาศ ก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน
ไลแมน สปิตเซอร์ไม่ได้โด่งดังเมื่อเทียบกับอีกสองคน อย่างไรก็ตามไม่มีใครเพิกเฉยอิทธิพลของเขาในสาขาดาราศาสตร์
เขาเป็นคนแรกที่เสนอให้ใช้กล้องโทรทรรศน์ในอวกาศเพื่อกำจัดผลของชาโดว์เอฟเฟ็คของชั้นบรรยากาศของโลก เรื่องนี้นำไปสู่การกำเนิดของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเขา กล้องโทรทรรศน์อวกาศอันสุดท้ายที่ทำโดยโครงการหอดูดาวเอกถูกตั้งชื่อตามเขา นั่นก็คือกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์
หลังบอกลาวิตเตน ลู่โจวก็ไปห้องสมุดไฟร์สโตนแล้วไปหาบรรณารักษ์
ชายชราที่ดูแปลกๆ เป็นผู้รับผิดชอบหนังสือของห้องสมุด
แม้ว่าจะมีคนแปลกๆในพรินซ์ตัน แต่มีไม่มากนักที่เหมือนกับชายชรา ผู้ที่ใส่ชุดนอนตอนทำงาน
โดยเฉพาะดวงตาที่ขุ่นมัว มันทำให้ผู้คนสงสัยว่าเขาความจำเสื่อมหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ลู่โจวประหลาดใจก็คือหลังจากที่ชายชราได้ยินคำขอของลู่โจว เขาก็รีบปีนบันไดเอาหนังสือที่ชั้นหนังสือสูงสองชั้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นชายชราก็ปีนลงบันไดแล้วส่งสมุดให้ลู่โจว
“นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการ”
“ขอบคุณครับ”
ลู่โจวเอื้อมมือไปรับต้นฉบับ
อย่างไรก็ตามชายชราดึงมือกลับทันที
ลู่โจว “???”
ชายชรากล่าว “นี่คือความมั่งคั่งของอารยธรรม โปรดดูแลให้ดีด้วย”
ดูเหมือนเขาจะแค่ให้คำแนะนำกับลู่โจวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามลู่โจวสังเกตเห็นว่ามือของชายชรากำลังสั่นเทา
“ผมรู้…คุณมอบหนังสือให้ผมได้ไหม?” ลู่โจวมองชายชรา เขาเอาหนังสือมาไม่ได้
เขารู้สึกเหมือนชายชรากำลังหยอกเขาเล่น
ชายชราเห็นว่าลู่โจวไม่ตกหลุมพรางเป็นครั้งที่สอง เขาจึงรู้สึกผิดหวัง เขากระแอมแล้วตอบ “ย่อมได้ แต่คุณต้องสัญญากับฉันว่าคุณจะนำกลับมาสภาพสมบูรณ์”
ลู่โจวชูสามนิ้ว
“ผมสาบาน…”
“อย่าสาบานกับฉัน” จู่ๆ ชายชราก็หยิบคัมภีร์ไบเบิลมาจากไหนไม่รู้ “สาบานต่อสิ่งนี้”
ลู่โจวพูดไม่ออก
ทำไมคุณถึงบอกให้คนที่ไม่นับถือพระเจ้าสาบานกับคัมภีร์ไบเบิลล่ะ?
ฉันอยากสาบานต่อหน้าหนังสือ’หลักการทางคณิตศาสตร์ของปรัชญาธรรมชาติ’ของนิวตัน หรือหนังสือ’ทฤษฎีสนามรวม’ของไอสไตน์มากกว่า ถ้าแบบนั้นมันคงทำให้เขาจริงจังขึ้น
อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่อยากเสียเวลาเปล่า เขาเอามือวางไว้บนคัมภีร์ไบเบิลก่อนจะกล่าว “ผมสาบานว่าจะคืนหนังสือเล่มนี้ในสภาพสมบูรณ์”
แม้ว่าชายชราจะไม่พอใจกับทัศนคติของลู่โจว แต่เขาก็ยังพยักหน้าและมอบต้นฉบับให้ลู่โจวอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันหวังว่าคุณจะรักษาสัญญานะ”
“ครับ”
ลู่โจวไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินไปห้องอ่านหนังสือข้างๆ ทันที
…
ลู่โจวไม่สามารถนำต้นฉบับออกจากห้องสมุดไฟร์สโตน เขาได้แต่อ่านในห้องอ่านหนังสือเท่านั้น
ถ้าต้นฉบับมีอายุหลายร้อยปี เขาอาจต้องสวมถุงมือก่อนอ่านด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามต้นฉบับนี้ค่อนข้างใหม่ มันอายุเพียงหกสิบปีเท่านั้น
ลู่โจวเริ่มเปิดหนังสืออ่านอย่างระมัดระวัง
การทำความเข้าใจกับเนื้อหาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไลแมน สปิตเซอร์จินตนาการสูงมาก ภาพวาดบางอย่างก็ทำความเข้าใจไม่ได้
ลู่โจวไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทิ้งต้นฉบับนี้ไว้ที่สถาบันขั้นสูงพรินซ์ตัน
ลู่โจวรู้สึกว่าถ้าเป็นเขา เขาคงไม่มีทางทิ้งข้อความ’ที่อ่านไม่ออก’นี้อยู่บนโลก…
ลู่โจวใช้เวลาทั้งบ่ายเพื่ออ่านหนังสือตั้งแต่เริ่มจนจบ
แม้ว่ามันเข้าใจได้ยาก แต่หลังอ่านแล้ว ลู่โจวรู้สึกว่ามันมีประโยชน์
โดยเฉพาะเนื่องจากในเรื่องวิสัยทัศน์สุดท้ายของสเตลล่าร์เรเตอร์ ไลแมน สปิตเซอร์มีข้อสรุปเดียวกับลู่โจว
“…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันมาจากหกสิบปีที่แล้ว”
ลู่โจวอดทบทวนต้นฉบับเก่าไม่ได้
แม้แต่ตอนนี้ การดึงเอาแนวคิดในสมุดเล่มนี้แล้วนำไปทำวิทยานิพนธ์ มันก็ยังได้วิทยานิพนธ์ที่มีคุณค่าทางวิชาการอีกมากมายหลายฉบับ
อย่างไรก็ตามมันก็ผ่านมาหกสิบปีแล้ว มีคนเขียนวิทยานิพนธ์ไปแล้ว
ลู่โจววางต้นฉบับไว้ข้างๆแล้วครุ่นคิด
นิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้เป็นโปรเจกต์ใหญ่ แต่ลู่โจวสนใจทั้งด้านโอกาสและกลศาสตร์
ปัญหาคือเขาต้องการประเด็นที่เหมาะสม
วัสดุยิ่งยวดอุณหภูมิปกติ?
หรือมองมันจากมุมมองคณิตศาสตร์ แล้วพยายามหา’กฎการเคลื่อนที่ของพลาสมา’?
ประเด็นแรกประยุกต์ใช้ได้มากกว่า ส่วนประเด็นสองอิงทฤษฎีมากกว่า ประเด็นไหนก็ค่อนข้างยากทั้งนั้น
โดยเฉพาะประเด็นที่สอง มันเกี่ยวข้องกับการศึกษาความปั่นป่วนของพลาสมาเชิงซ้อน มันอาจเป็นส่วนที่ยากที่สุดของสมการนาเวียร์-สโตกส์
แถมจนถึงตอนนี้ การวัดพลาสมาที่มนุษย์ทำได้เป็นแค่’การประมาณ’เท่านั้น
อย่างไรก็ตามถ้าปัญหานี้ถูกแก้ไข ไม่เพียงแต่มันจะผลักดันนิวเคลียร์ฟิวชั่นไปข้างหน้าเท่านั้น มันอาจช่วยในการวิจัยสมการนาเวียร์-สโตกส์ด้วยเช่นกัน
ลู่โจวใช้เวลาคิดราวสิบนาที
ฉับพลันนั้นลู่โจวก็ยิ้มมุมปากแล้วหยิบปากกาขึ้นมา เขาวงกลมคำว่า’กฏการเคลื่อนที่ของพลาสมาในเครื่องสเตลล่าร์เรเตอร์’
เขาหยิบต้นฉบับขึ้นมาแล้วผุดลุกขึ้นยืน
เป็นไปตามคาด เขาสนใจปัญหายากๆมากกว่า
ตั้งแต่ข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัค เขาก็ค้นหาปัญหาที่ท้าทายมากขึ้นมาตลอด…
…………………………………