หัวหน้ากองบรรณาธิการ กองบรรณาธิการรายงานวิทยาศาสตร์
หัวหน้าบรรณาธิการไช่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะทำงานพร้อมกับตรวจสอบบทความฉบับร่างในมืออย่างพิถีพิถัน
แม้ว่าสื่อดั้งเดิมจะเริ่มด้อยกว่าสื่ออินเทอร์เน็ต แต่ในชุมชนวิชาการ วารสารรายงานวิทยาศาสตร์ก็ยังคงมีอิทธิพล
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็อยู่ภายใต้สถาบันวิทยาศาสตร์จีนโดยตรง แม้ว่านักวิจัยส่วนใหญ่จะไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ของพวกเขา แต่สถาบันวิจัยส่วนใหญ่ก็ยังสั่งหนังสือพิมพ์พวกเขาเป็นจำนวนมาก
ด้วยอิทธิพลนี้ หัวหน้าบรรณาธิการไช่จึงต้องตรวจสอบบทความอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นการรายงานของบุคคลที่มีอนาคต
ท้ายที่สุดแล้วถ้าเขาทำพลาด เขาก็จะต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามบทความของวันนี้คุณภาพค่อนข้างดี นั่นก็คือจนพวกเขาได้พบกับการสัมภาษณ์ศาสตราจารย์หวังไห่เฟิง นักวิชาการชื่อดัง
เขาตบบทความที่เพิ่งปริ้นมาแล้วหันไปมองเลขา
“ไปเอาตัวหลี่เสว่ซงมา”
“ครับ”
เลขาโจวเห็นหัวหน้าบรรณาธิการไช่ไม่พอใจ เขาจึงไม่พูดอะไรและรีบออกจากออฟฟิศให้เร็ว
หัวหน้าบรรณาธิการไช่เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในออฟฟิศ เขาพยายามควบคุมลมหายใจสงบใจตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาอ่านบทความบนโต๊ะ เขาก็เริ่มหัวเสียอีกครั้ง
ตอนประชุม เขาเน้นย้ำความสำคัญของการเมืองกับคนของเขา อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าไอ้โง่นี่ไม่ได้ฟังที่เขาพูด
ถ้าเขาไม่ได้ตรวจสอบบทความแล้วบทความถูกตีพิมพ์ งั้นเขาคงมีปัญหากับเบื้องบนแน่
เขาโกรธมาก
เลขาโจวไปหาหลี่เสว่ซงด้านนอก
“หัวหน้าบรรณาธิการอยากพบนาย ไปเดี๋ยวนี้”
หลี่เสว่ซงถามอย่างกังวล “พี่โจว หัวหน้าไช่…มีอะไรรึเปล่า?”
ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปล่วงเกินใครเข้าใช่ไหม?
“ฉันไม่รู้” เลขาโจวขมวดคิ้ว เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกอย่าง ในสำนักงาน อย่าเรียกฉันว่าพี่”
หลี่เสว่ซงกังวลมากจนเหงื่อเริ่มผุด จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ครับ ผมผิดไปแล้ว”
เลขาโจวกล่าว “ไปได้แล้ว”
หลี่เสว่ซงสับสนงุนงง เขาเดินไปออฟฟิศหัวหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
ทุกคนในห้องมองดูหลี่เสว่ซงและกระซิบกระซาบกัน
หลี่เสว่ซงอยากทราบคำตอบมากสุด เขาไม่เข้าใจว่าเขาไปล่วงเกินหัวหน้าบรรณาธิการไช่ตอนไหน
เขาเคาะประตูแล้วได้คำตอบอันเย็นชา “เข้ามา”
เขาตัวสั่นนิดๆเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นหัวหน้าบรรณาธิการไช่มองมาที่ตน หลี่เสว่ซงก็ถามเบาๆ “หัวหน้าไช่ หาผมอยู่เหรอครับ?”
หัวหน้าบรรณาธิการไช่ไม่ได้พูดอะไร กลับกันเขาเอานิ้วเคาะบทความ
“คุณเป็นคนเขียนใช่ไหม?”
หลี่เสว่ซงเข้าใจทันที
เขาเดาว่าเบื้องบนคงไม่พอใจกับการสัมภาษณ์ของเขา เขาจึงพยายามอธิบาย
“หัวหน้าไช่ ผมรู้ว่ารายงานนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่มันเกี่ยวข้องกับเรายังไง? เราเป็นกลาง เราแค่กำลังรายงานเรื่องศาสตราจารย์หวังอย่างไม่มีอคติ เป็นศาสตราจารย์หวังที่อยู่ในวังวนนี้ มันก็แค่ข่าวขำๆ…”
“ขำๆบ้านแกสิ!” หัวหน้าบรรณาธิการไช่ปาบทความใส่หัวไอ้โง่คนนี้แล้วตะคอกใส่ “ฉันบอกให้เขียนข่าวขำๆตอนไหน? ถ้าแกฉลาดมาก ทำไมแกไม่ลาออกแล้วเปิดบริษัทสื่อเองเลยล่ะ?”
หลี่เสว่ซงถูกด่าเหมือนหมูเหมือนหมา แต่เขาก็ไม่โอดครวญ
เขาเป็นแค่ข่าวธรรมดาๆ เขาเขียนสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์พูด
อย่างไรก็ตามเขายังคงต้องรับผิดชอบ
ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลที่เขาสัมภาษณ์หวังไห่เฟิงก็เพื่อฟังความขัดแย้งของเขากับลู่โจว
ความขัดแย้งเป็นเนื้อหาที่ดี
ทุกคนชอบดูดราม่ามากกว่าข่าวจริงจัง
หลี่เสว่ซงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
หลังถูกด่าอีกสองสามประโยค หัวหน้าบรรณาธิการไช่ก็หยิบขวดสุญญากาศจิบน้ำดับกระหาย จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วสั่ง “ไสหัวไป แก้บทความซะ!”
หลี่เสว่ซงกล่าว “แก้ทั้งหมดเลยเหรอครับ? รวมถึงส่วนสัมภาษณ์ด้วย?”
หัวหน้าบรรณาธิการไช่กล่าว “หยุดเหลวไหลได้แล้ว แกโง่เหรอ? ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือส่วนนี้แหละ!”
หลี่เสว่ซงลังเลเล็กน้อย “แต่ศาสตราจารย์หวัง…”
ผมไม่อยากล่วงเกินศาสตราจารย์หวัง ผมจะแก้คำพูดของเขาไม่ได้ใช่ไหม?
“ฉันไม่สน” หัวหน้าบรรณาธิการไช่กล่าว “แก้ซะ พอบทสัมภาษณ์ถูกตีพิมพ์ เขาจะขอบคุณเราเอง”
“ครับ…” หลี่เสว่ซงกล่าวเสียงเบาก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับบทความฉบับร่าง
หลังแก้ไขเล็กน้อย ข่าวฉบับนี้ก็เสร็จ
คำพูดของศาสตราจารย์หวังถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
‘ค่อนข้างน่าอับอาย’กลายเป็น’มีความสามารถ’ ‘ไม่ดูภาพรวม’กลายเป็น’นักวิจัยที่กล้าเสี่ยง’…
ความเห็นเชิงลบทั้งหมดที่ศาสตราจารย์หวังกล่าวถูกเปลี่ยนเป็นความเห็นเชิงบวก
ศาสตราจารย์หวังมีความคิดเห็นอะไรไหม?
เขาไม่มี
เขาไม่สามารถ
เป็นอย่างที่หัวหน้าบรรณาธิการไช่กล่าว เมื่อศาสตราจารย์หวังเห็นข่าวนี้ เขาไม่ได้โกรธเลย กลับกันเขารู้สึกโล่งอกราวกับเงื่อนในใจถูกคลายออกไป
ตอนแรก เขาคิดว่าโมเลกุลคาร์บอนเหมือนกรงของศาสตราจารย์สแตนลีย์จะแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์ได้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าอุตสาหกรรมจะปฏิเสธแผนของศาสตราจารย์สแตนลีย์และยอมรับนวัตกรรมของลู่โจวแทน
หลังลู่โจวชนะรางวัลฮอฟแมน สีหน้าเขาก็ดำคล้ำ
ประเทศจีนอยากใช้เหรียญที่มีความสำคัญทางการเมืองเพื่อส่งเสริมมิตรภาพกับเยอรมนี
ถ้าเขาวิจารณ์ลู่โจวตอนนี้ มันก็เหมือนการฆ่าตัวตาย
เขาคิดจะโทรหาวารสารวิทยาศาสตร์เพื่อบอกให้พวกเขาลบการสัมภาษณ์ทิ้ง อย่างไรก็ตามมันน่าอับอายเกินไป
แต่ถึงกระนั้นแม้หวังไห่เฟิงจะโชคดี แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยหลังเห็นข่าวนี้
แต่นอกจากบ่น เขาก็ทำอะไรไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ผู้ชนะรางวัลฮอฟแมน
หวังไห่เฟิงอ่านวารสารวิทยาศาสตร์แล้วเย้ยหยัน “ผู้มีโอกาสได้รับรางวัลโนเบลงั้นเหรอ?”
เขาหัวเราะเยาะแล้วฉีกหนังสือพิมพ์ขาดครึ่ง
มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียน เขาเริ่มวิจารณ์ลู่โจวอีกครั้ง
“คางคกอยากกินเนื้อหงส์? ฝันไปเถอะ”
นักศึกษาปริญญาเอกที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะทำงานเขาก็ส่ายหน้า
เขาวิจารณ์ความเห็นของอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้
อย่างไรก็ตามเขาทดสอบความน่ารำคาญได้จากตรงนี้…
…………………………………