หานเมิ่งฉีไม่รู้ทำไม แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกอยากกัดคน
จะพูดถึงส่วนสูงของเธอมันก็ดี แต่น้ำเสียงตอนถามของลู่โจวมันน่าหงุดหงิด!
ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลู่โจวนะ…
เธอสาบานเลยว่าเธอจะ…
เธอจะ…
อ้า น่าโมโหมาก!
หานเมิ่งฉีแก้มพองด้วยความโกรธ เธอสวมผ้าพันคอปิดไว้และไม่ได้พูดอะไร เธอมอบกล่องตัวอย่างให้อาจารย์ห้องแล็บแล้วจากไป
หยางสวี่มองเมิ่งฉีเดินจากไปก่อนจะมาถามลู่โจว “พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”
ลู่โจวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆท่าทีของหานเมิ่งฉีก็เปลี่ยนไป “ฉันเคยเป็นครูสอนพิเศษเธอ”
หยางสวี่พลันตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่รู้ว่าหยางสวี่เข้าใจอะไร
“เอาล่ะ เข้าเรื่องเถอะ…” ลู่โจวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บอกฉันมาว่าการทดลองเป็นไงบ้าง”
หยางสวี่ “การทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก กราฟีนสองเลเยอร์ซ้อนทับกัน เมื่อมุมเลี้ยวเข้าใกล้ 1.1° และอุณหภูมิเข้าใกล้ 1.7 k ปรากฏการณ์ยิ่งยวดที่ไม่เป็นตามแบบแผนจะเกิดขึ้น ทีมวิจัยของเราตั้งชื่อมุมนี้ว่า’มุมเวทมนตร์’”
ลู่โจวรู้สึกสนใจ เขาเลิกคิ้วแล้วกล่าว “ชื่อจินตนาการมาก”
“ใช่ครับ มันเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ผลการวิจัยนี้ก็เป็นเหมือนชื่อ เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ” หยางสวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วัสดุตัวนำยิ่งยวดโลหะมีโครงสร้างที่ปรับแต่งได้ยาก ยกตัวอย่างคาร์บอนออกไซด์ ในทางตรงกันข้ามวัสดุนาโนคาร์บอนมีความเป็นพลาสติกสูงกว่าซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่จำกัด”
ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าว “มันยังหมายถึงการทดลองที่ไม่จำกัดด้วย?”
หยางสวี่กล่าว “การทดลองเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ”
‘อุณหภูมิห้อง’นั้นร้อนกว่า’อุณหภูมิสูง’ อย่างน้อยก็ในด้านตัวนำยิ่งยวด อย่างหลังอุณหภูมิเพียง 77 k เท่านั้น (ประมาณ -196 เซลเซียส) ในขณะที่อย่างแรกสูงกว่า 273 k
ไม่ต้องพูดถึงห้องแล็บไฮเทคที่มีอุณหภูมิตัวนำยิ่งยวด 100k อุณหภูมิ 1.7k อยู่ในตำแหน่งที่แย่กว่าคอปเปอร์ออกไซด์ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 35 k
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในอุตสาหกรรมไม่ได้ มันถูกจำแนกเป็นเทคโนโลยีที่ไร้ประโยชน์เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ตื้นเขินเกินไป
ไม่ได้พูดเกินจริงเลยว่าผลการวิจัยเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์นั้นไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามถ้าหากไม่มีผลการวิจัยเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์มันก็จะไม่มีหนึ่งเปอร์เซ็นต์
หยางสวี่อธิบายการทดลองสั้นๆแล้วเริ่มพูดถึงแผนในอนาคต
“…เป้าหมายถัดไปของเราคือหาวิธีเพิ่มอุณหภูมิตัวนำยิ่งยวดของวัสดุกราฟีนไปเป็น 77 k แน่นอนมันเป็นเป้าหมายระยะยาว มันอาจยากที่จะสำเร็จในระยะสั้นๆ”
ลู่โจวครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เป้าหมาย 77 k น้อยเกินไป เราควรกำหนดไว้สัก 100 k”
ระบบบอกว่า 100 k นั้นเป็นไปได้ ดังนั้นถ้าไม่ใช้ข้อมูลนี้คงน่าเสียดายแย่
หยางสวี่มีท่าทางจนปัญญา
“ตกลง แต่เรามีปัญหา ไม่ว่าจะเป็น 77 k หรือ 100 k ถ้าวัสดุตัวนำยิ่งยวดนี้ถูกสร้างขึ้น เทคโนโลยีนี้มีโอกาสนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้อย่างจำกัด…โดยไม่คำหนึ่งว่าใครจะสนใจเทคโนโลยีนี้ เรานำไปจดสิทธิบัตรได้”
หยางสวี่ไม่ต้องพูดจบ แต่ความหมายก็ชัดเจน
โปรเจกต์วิจัยร่วมมือจะน่ากระอักกระอ่วนเมื่อมีสิทธิบัตรมาเกี่ยวข้อง
ลู่โจวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ศาสตราจารย์เฮอร์เรโรคิดยังไง?”
หยางสวี่ “ตอนที่ผมทำโพสต์-ดอกที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ผมได้ยินว่าศาสตราจารย์เฮอร์เรโรเป็นคนที่ไม่สนใจชื่อเสียงหรือเงินทอง มาดูวิทยานิพนธ์เก่าๆ ของเขา เขาไม่ค่อยแข่งผลการทดลองกับลูกศิษย์ เขามีความสุขกับการได้ฝึกฝนบุคคลที่มีศักยภาพสูง”
ลู่โจวถาม “สรุปคุณจะพูดอะไร?”
หยางสวี่ยักไหล่ “เขาอาจคิดว่าเทคโนโลยีนี้ทุกคนสมควรใช้ได้อย่างเท่าเทียม”
เช่นเดียวกับในจีน ศาสตราจารย์ต่างประเทศก็มีคนที่ไม่สนใจเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเช่นกัน พวกเขาสนใจแค่การทดลองเท่านั้น
แทนที่จะมาจากบริษัท เงินทุนส่วนใหญ่ของพวกเขามาจากเงินทุนวิจัยจากภาครัฐหลายประเทศ ตราบใดที่เงินเดือนของศาสตราจารย์พอใช้กินใช้จ่าย พวกเขาไม่สนใจจะเปลี่ยนผลการวิจัยเป็นสิทธิบัตร
ลู่โจวคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ฉันแค่คิดว่าเรามอบข้อเสนอให้ไม่พอ ถ้าเรายอมจ่ายเงินทุนวิจัยให้พวกเขาสิบล้าน ฉันคิดว่าพวกเขาอาจพิจารณาปัญหานี้จริงจังกว่าเดิม”
เมื่อหยางสวี่ได้ยินตัวเลขสิบล้าน เขาก็อึ้ง
นักวิชาการทุกคนล้วนต้องการเงินทุน และสิบล้านเหรียญก็เป็นเงินที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แม้แต่ผู้ชนะรางวัลโนเบลก็ไม่สามารถระดมทุนจำนวนนี้ได้ง่ายนัก
หยางสวี่กลืนน้ำลาย “มันคุ้มเหรอ?”
ต่อให้วัสดุตัวนำยิ่งยวดอุณหภูมิ 100 k ถูกสร้างขึ้น มันก็อาจได้ราคาไม่มากนัก
ท้ายที่สุดแล้ววัสดุตัวนำยิ่งยวดก็นำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้อย่างจำกัดเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเธียม
ลู่โจวส่ายหน้า “ฉันไม่สนใจว่ามันจะคุ้มไหม ฉันต้องการเทคโนโลยีนี้ และฉันก็ต้องการสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้อง ส่วนเหตุผล ฉันจะบอกภายหลัง ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องสนใจว่ามันคุ้มค่าไหม คุณแค่ต้องจำไว้ว่าต่อให้ขาดทุนคุณก็ต้องทำ”
หยางสวี่พยักหน้า “รับทราบ…ถ้าเขาไม่เห็นด้วยล่ะ?”
ลู่โจวกล่าว “งั้นก็เสนอไปยี่สิบล้าน”
หยางสวี่ “…”
เชี่ย!
เขาเกือบลืมไปเลยว่าเถ้าแก่เขารวยมาก
ลู่โจวหยุดแป๊บหนึ่ง “ขีดจำกัดของฉันคือยี่สิบล้าน ถ้าเขาปฏิเสธ งั้นเราจะหาคนอื่นที่อยากมาร่วมมือแทน…ฉันขอฝากเรื่องเจรจาด้วย”
หยางสวี่พยักหน้า “ผมจะถ่ายทอดความตั้งใจของคุณเอง”
ลู่โจวมองหยางสวี่แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ทันใดนั้นเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“เอ้อ จะว่าไป ฉันบอกว่าจะมีโบนัสสิ้นปีใช่ไหม?”
เมื่อหยางสวี่ได้ยินแบบนั้น เขาก็ยิ้ม “เถ้าแก่ ผมกำลังรออยู่เลย ถ้าคุณไม่พูด ผมกะจะถามคุณแทนทุกคนพอดี”
นักวิจัยหลายคนในห้องแล็บต่างก็เงี่ยหูฟังบทสนทนา ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาต่างก็สนใจเรื่องโบนัส
“พวกคุณทำงานหนักกันทุกวัน ฉันจะลืมเรื่องโบนัสได้ไง?” ลู่โจวกระแอมแล้วกล่าว “ฉันจะไปแจกแจงเรื่องโบนัสที่แผนกการเงินสักแป๊บ ฉันสัญญาเลยว่าทุกคนจะมีวันปีใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข”
หยางสวี่ยิ้ม “เถ้าแก่บอกได้ไหมว่าโบนัสของผมเท่าไหร่? แค่ประมาณก็ได้”
ลู่โจวยิ้ม “ประมาณยังไงดี?”
หยางสวี่กล่าว “แค่บอกว่าเท่ากับค่าจ้างกี่เดือนก็ได้ครับ”
ลู่โจวส่ายหน้า “แบบนั้นมันตรงเกินไป ฉันจะบอกคุณว่ามันมีกี่หลัก แต่คุณต้องเดาจำนวนที่แน่นอนเอง”
หยางสวี่ถาม “กี่หลักครับ?”
ลู่โจวกล่าว “อย่างน้อยเจ็ดหลัก”
หยางสวี่แข็งค้าง
เจ็ด…
เจ็ดหลัก?
ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเท่ากับเงินเดือนสามสี่เดือน
เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเกินความคาดหมายของเขา
ลู่โจวยิ้มแล้วตบบ่าหยางสวี่ “ปีนี้พวกคุณทำงานหนักกันมามาก ปีหน้าก็ทำดีต่อไปนะ!”
………………………………….