อาหารอยู่บนโต๊ะแล้ว
ทั้งครอบครัวนั่งอยู่รอบโต๊ะและเริ่มทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังทานอาหารเสร็จ ลู่โจวก็ช่วยพ่อแม่เก็บโต๊ะ
ตอนแรกเขาอยากช่วยพ่อแม่ทำอาหาร แต่แม่ไม่ยอมปล่อยให้เขาทำ ดังนั้นเฒ่าลู่จึงบอกให้ลู่โจวอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
ครัวไม่ใหญ่พอที่จะอยู่กันสามคน
ลู่โจวไม่ดื้อดึง กลับกันเขาไปดูทีวีที่ห้องนั่งเล่นแทน
เสี่ยวถงนอนอยู่บนโซฟาข้างเขา เธอกำลังเล่นโทรศัพท์ ทันใดนั้นเธอก็หันมามองพี่ชายแล้วเอ่ยถาม “พี่ พี่จะชนะรางวัลโนเบลปีนี้ไหม?”
เมื่อลู่โจวได้ยินคำถามเธอ เขาก็ยิ้ม “พี่ไม่รู้ แต่มีคนบอกพี่ว่าจะแนะนำพี่ให้กับคณะกรรมการรางวัลโนเบล”
เสี่ยวถงเงยหน้าขึ้น “ใครแนะนำ?”
“แกร์ฮาร์ด อาร์ตัล คนเยอรมัน…น้องไม่รู้จักหรอก”
ช่วงงานประชุมที่เยอรมัน ผู้ชนะรางวัลโนเบลบอกลู่โจวว่าจะเขียนจดหมายแนะนำให้คณะกรรมการโนเบล
ตอนนั้นลู่โจวค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย
การพยายามคว้ารางวัลโนเบลเป็นสิบๆ ปีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาขาเชิงทฤษฎี มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้รางวัลโนเบลเลยหลังผลการวิจัยออกมา การชนะรางวัลวิทยาศาสตร์ธรรมชาติระดับประเทศอันดับหนึ่งมาก็โชคดีมากแล้ว แถมเดือนสิงหายังมีเหรียญฟิลด์รอเขาอยู่อีกรางวัลด้วย
การชนะรางวัลโนเบลอาจต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลย
เสี่ยวถงพึมพำ “พี่สุดยอดเลย…”
ลู่โจวยิ้ม “สู้ๆ เพราะน้องกำลังเรียนเศรษฐศาสตร์ น้องอาจชนะรางวัลโนเบลเข้าสักวันก็ได้”
เสี่ยวถงพึมพำ “ไม่มีทาง หนูไม่เก่งคณิตขนาดนั้นสักหน่อย…”
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เป็นรางวัลแก่นักคณิตศาสตร์ นี่เป็นข้อมูลที่รู้กันดี สำหรับเศรษฐศาสตร์แล้ว ผู้ชนะรางวัลโนเบลส่วนใหญ่จะมาจากคณิตศาสตร์หรืออย่างน้อยก็ต้องมีความรู้คณิตศาสตร์ระดับสูง
ในปี 1969 รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ถูกมอบให้กับศาสตราจารย์ฟริชกับศาสตราจารย์ทินเบอร์เกน คนแรกเป็นนักคณิตศาสตร์ส่วนคนหลังเป็นนักฟิสิกส์ เห็นได้ชัดว่าคณะกรรมการโนเบลสนับสนุนคนสาขาเชิงปริมาณ เหตุผลที่ทำไมทั้งสองได้รับรางวัลคือคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับ’เศรษฐมิติ’
ลู่โจวยิ้ม “นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลย พี่อยู่ตรงนี้แล้ว น้องไม่ควรมากังวลว่าคณิตศาสตร์จะเป็นปัญหา”
เสี่ยวถงหยุดเกมแล้วโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ จากนั้นเธอก็มานั่งขัดสมาธิบนโซฟาแล้วพูด “พี่ พี่จะบอกว่าพี่จะแบกหนูเหรอ?”
ลู่โจวยิ้ม “พี่แบกได้ แต่อย่างน้อยน้องต้องเล่น ROV ให้แรงค์ไดมอนด์ก่อน พี่จะไม่แบกถ้าน้องไม่ทำเองบ้าง ถ้าพี่ทำให้ทุกอย่างมันคงไม่สนุก”
ลู่โจวไม่สนใจรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์มากนัก เพราะสิทธิบัตรทำให้เขาใช้จ่ายได้อย่างอิสระแล้ว เขาไม่ต้องมากังวลเรื่องเงินอีก
อย่างไรก็ตามถ้าเสี่ยวถงสนใจเศรษฐศาสตร์ ลู่โจวก็ไม่คิดมากที่จะช่วยเธอ
แน่นอนเสี่ยวถงต้องไปถึงระดับที่สมควรให้เขาช่วยก่อน
คงไม่มีสถาบันวิชาการไหนที่ยอมรับผลงานของเธอถ้าเธอทำแค่งานเบ็ดเตล็ดแล้วเขียนชื่อตัวเองบนวิทยานิพนธ์
“…โอ้ ก็ได้ หนูจะพยายาม” เสี่ยวถงถอนหายใจแล้วหันไปดูโทรศัพท์ ไม่นานเธอก็ไม่สามารถอดทนต่อสิ่งล่อใจได้อีก เธอกลับไปเริ่มเกมใหม่อย่างรวดเร็ว
ลู่โจวยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุด เธอจะเล่นก็ไม่ผิดอะไร จะไปอ่านหนังสือตอนนี้เลยก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่จำเป็นต่อเธอคือวินัย ไม่ใช่แรงจูงใจ
ส่วนรางวัลโนเบล ที่จริงมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
ลู่โจวแค่หวังว่าน้องสาวจะมีเป้าหมายตอนอยู่มหาวิทยาลัย เธอจะได้รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรแทนที่จะเสียเวลาสี่ปีไปอย่างเปล่าประโยชน์
…
ครอบครัวลู่ไม่เคยติดตุ้ยเหลียนที่หน้าประตูมาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาเลย ดังนั้นมันจึงดึงดูดความสนใจของเพื่อนบ้านหลายคน
เฒ่าลู่ชอบโม้ เมื่อไหร่ที่มีคนถามเรื่องตุ้ยเหลียน เขาก็จะบอกทุกคนว่านักวิชาการเป็นคนเขียนให้ลูกชาย มันจึงทำให้ทุกคนอิจฉามาก
บางคนก็เริ่มคิด…แม้ว่านักวิชาการจะเป็นคนเขียนตุ้ยเหลียน แต่ไม่ใช่ว่าลูกชายของเฒ่าลู่เก่งกว่านักวิชาการเหรอ?
ลูกชายของเฒ่าลู่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ออกทีวีทั่วประเทศและยังชนะรางวัลที่สวีเดนด้วย
ดังนั้นหลายคนจึงสนใจคำอวยพรของลู่โจว
เมื่อไหร่ที่เฒ่าลู่ไปออฟฟิศ เพื่อนร่วมงานของเขาและแม้แต่เจ้านายเขาก็จะมาขอให้เฒ่าลู่รบกวนให้ลู่โจวเขียนตุ้ยเหลียนให้ ไม่ใช่แค่นั้นแต่บางคนก็ถึงกับเคาะประตูบ้านแล้วมอบของขวัญให้เขา
ทุกคนต่างก็อยากได้ตุ้ยเหลียนจากนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
ท้ายที่สุด ทั้งเมืองไม่มีนักวิชาการคนไหนที่มีความรู้มากเท่าลู่โจวแล้ว
ถ้าพวกเขาได้ตุ้ยเหลียนจากนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็อาจได้’โชคดี’ของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ติดบ้านมาบ้าง สิ่งนี้มีค่าอย่างยิ่งกับครอบครัวที่มีเด็กที่กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เฒ่าลู่เป็นคนง่ายๆ เขาย่อมไม่ปฏิเสธใคร
เขายอมรับคำขอของทุกคน
อย่างไรก็ตามลู่โจวเป็นคนลำบาก…
เมื่อลู่โจวได้ยินคำขอของพ่อ เขาก็กล่าว “พ่อ พ่อจะไปคุยโม้ทำไม! ผมไม่เคยแตะพู่กันเขียนตุ้ยเหลียนมาก่อน ผมจะเขียนได้ไง?”
เฒ่าลู่กล่าว “ลายมือลูกไม่เลวหนิ มีคนให้พู่กันลูกด้วย แค่เขียนอะไรก็ได้”
เฒ่าลู่เหมือนจะตระหนักปัญหา แต่เขาตัดสินใจปล่อยให้ลูกชายจัดการ
ในใจเขา ถ้าลูกชายเขาแก้ข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัคได้ งั้นการเขียนตัวอักษรสักสองสามตัวก็น่าจะเป็นเรื่องกล้วยๆ
น่าจะนะ…
ลู่โจวกล่าว “พู่กันเหมือนปากกาที่ไหน”
เฒ่าลู่กล่าว “ไม่ต้องห่วง เขียนอะไรก็ได้ ขอแค่ลูกเขียนก็พอ”
ลู่โจวไม่เคยเขียนตุ้ยเหลียนมาก่อน เขาจึงจำเป็นต้องฝึกการเขียนด้วยพู่กัน
บางทีเป็นเพราะลู่โจวลายมือสวย หรือบางทีเป็นเพราะลู่โจวมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ แม้ว่าตอนแรกจะค่อนข้างยาก หลังฝึกสักพักลู่โจวก็เริ่มเข้ามือ
ลู่โจวพบว่าตอนที่เขาจดจ่อกับการเขียน ร่างกายของเขาจะสงบลง
มันเหมือนกับว่าปมในใจเขาเริ่มคลายออก
เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว…
ลู่โจวทำเหมือนการเขียนเป็นภารกิจ
เขากระทั่งเริ่มสนุกไปกับมัน
หนึ่งสัปดาห์ก่อนตรุษจีน ในที่สุดลู่โจวก็ทำตุ้ยเหลียนทั้งหมดให้พ่อเสร็จ
จู่ๆ เขาก็ตระหนักว่าตุ้ยเหลียนที่นักวิชาการหรูให้เขามันขาดแนวนอนไป
แม้ว่าส่วนแนวนอนจะไม่สำคัญ แต่ลู่โจวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
เขาถือพู่กันจุ่มหมึก
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
“เสี่ยวถง”
“ว่าไงพี่?” เสี่ยวถงกำลังเล่น ROV บนโซฟา เธอหันมามองลู่โจวแล้วกล่าว “หนูบอกก่อนนะ หนูเขียนตุ้ยเหลียนไม่เป็น”
“พี่ไม่ได้ขอให้ช่วย” ลู่โจวจ้องหมึกและหยุดเขียน เขาถาม “น้องไม่คิดว่าหมึกเหมือนของไหลเหรอ?”
นอกจากนี้มันยังเป็นของเหลวที่มีความหนืดสูง
เสี่ยวถงกล่าว “ของไหล?”
เสี่ยวถงหันไปมองหมึกแล้วกลับมามองลู่โจว
จากนั้นเธอก็กล่าวยังลังเล “พี่”
ลู่โจว “ว่า?”
เสี่ยวถงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “พี่เรียนคณิตจนโง่วิทย์ไปแล้วเหรอ?”
ลู่โจว “…ไปไกลเลย!”
ลู่โจวโยนพู่กันทิ้ง เขาเข้าห้องโดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า จากนั้นเขาก็ดึงกระดาษเปล่ามาจากกองหนังสือเรียนมัธยมปลายบนตู้แล้วไปนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างเงียบๆ
แรงบันดาลใจมักมาในเวลาที่ไม่คาดฝัน มันเป็นเรื่องยากที่จะคว้าแรงบันดาลใจไว้
เมื่อกี้จู่ๆ ลู่โจวก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัว
อย่างไรก็ตามความคิดมันเป็นนามธรรมเกินไป มันเกือบหายไปจากในหัวด้วยซ้ำ
สิ่งที่ลู่โจวต้องทำตอนนี้ก็คือการนำความคิดนามธรรมมาเขียนเป็นภาษาคณิตศาสตร์…
………………………………….