ตอนที่ 41 มาเอาพัสดุ
ณ อาคารซุนเฟิง ออฟฟิศซีอีโอ
มันเป็นช่วงพักกลางวัน
“ฉันอยากช่วยเขาในเวลาที่ต้องการ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการความช่วยเหลือของเราแล้ว” หวังเหว่ยกล่าวขณะมองดูกระทู้มาแรงอันดับหนึ่งแล้วส่ายหน้า เขากดไลค์ในรีโพสต์ของเหรินเหรินไดอารี่
ในเวลานั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมา
หวังเหว่ยกล่าวโดยไม่เงยหน้า “เข้ามา”
หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เดินเข้ามา
“ซีอีโอ ผมควรรอส่งข้อเสนอจนกว่าจะถึงสุดสัปดาห์ไหม?”
หวังเหว่ยคิดชั่วครู่แล้วตอบ “ส่งไปตอนนี้เลย รอไปก็ไม่มีประโยชน์”
ข่าวนี้ทำให้เขาได้รับผลกระทบซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดหวังเลย อย่างไรก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
สัมผัสกลิ่นการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นของนักธุรกิจทุกคน
ความหมายมันชัดเจนตั้งแต่การประชุมตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว
อินเตอร์เน็ตไม่ได้ยกเว้นกฏหมาย อิสระในการพูดไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตัวกำเริบเสิบสานยังไงก็ได้ จูฟางไฉอาศัยหัวข้อที่เป็นกระแส ใช้คำพูดที่เย่อหยิ่งและฉีกหน้าผู้คนโดยไร้เหตุผล วันเวลาของเขาจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องพูดถึง เขาสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อสังคม
เขาใช้สถานะของตนเพื่อทำลายชื่อเสียงของนักศึกษาที่แสวงหาความเจริญโดยไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม เขาใช้วลีที่ไร้เหตุผลอย่าง’สิบวิทยานิพนธ์ต่อเดือน’และ’มะเร็งโลกวิชาการ’เพื่อเพิ่มความนิยมของตน
เขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กที่เอะอะโวยวายเลย
ตอนนี้จูฟางไฉกลัวมาก เขาเลิกกระโดดโลดเต้น เขาอยากทำตัวโปรไฟล์ต่ำ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่อย่างโปรไฟล์ต่ำ
เงื้อมมือขึ้นแล้วและกำลังจะตบ มันก็กลายเป็นเรื่องที่ว่าตบนี้มันแรงแค่ไหน
ถ้าปากใหญ่ฉลาด เขาจะตบตัวเองแล้วยอมรับความผิดพลาด บางทีมือข้างนี้อาจไม่ตบลงที่เขา
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าหมอนี่โง่…
หวังเหว่ยคิดเล็กน้อยแล้วหัวเราะ เขาแตะหน้าจอโทรศัพท์แล้วรีโพสต์บทความของเหรินเหรินไดอารี่ เขากระทั่งเพิ่มแคปชั่นลงไปด้วย
[พ่อหนุ่ม เงินเดือนครึ่งล้านต่อปี เธอคิดยังไงกับการมาทำงานที่ซุนเฟิง? (รูปหน้าสุนัข)]
กด
ส่งไป
แถบคอมเมนต์และข้อความส่วนตัวก็เดือดพล่าน
…..
นับตั้งแต่เริ่มการโต้เถียงมันก็ผ่านมาสัปดาห์เดียวเท่านั้น และมันก็ถูกโพสต์ในหัวกั๋วชิงเหนียนแล้ว
ลู่โจวไม่คิดเลยว่าเขาจะชนะอย่างล้นหลาม
รีโพสต์ของหัวกั๋วชิงเหนียนได้เปลี่ยนทิศทางของความเห็นของมหาชนโดยสมบูรณ์ ประชาชนเห็นคำอธิบายของรัฐบาลแล้วรวมตัวกันไปตำหนิปากใหญ่จูทันที
นักศึกษาปริญญาตรีได้รับการยอมรับจากมหาลัยนิวยอร์กและสถาบัน Paul Scherrer ของสวิส วิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจากบริษัทระดับพันล้านหยวน นักศึกษาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้จะถูกเรียกว่ามะเร็งโลกวิชาการได้อย่างไร?
อุกอาจเกินไปแล้ว
[คุณยังชอบดูถูกคนอื่นอีกเหรอเฒ่าจู?]
[ฉันบอกแล้วว่าวิทยานิพนธ์ไม่มีปัญหา เฒ่าจูชอบสบประมาทผู้อื่น]
[ฉันต้องคุกเข่าให้กับอัจฉริยะคนนี้ ฉันเขียนวิทยานิพนธ์สองฉบับในหนึ่งปีไม่ได้ด้วยซ้ำ]
[ทุกคนนั่งลงแล้วอธิษฐานให้เทพนักศึกษากัน (สุนัข)]
[ผมรู้สึกเหมือนผมเสียเวลาสี่ปีในมหาลัยโดยเปล่าประโยชน์…]
[ในฐานะนักศึกษานานาชาติที่สถาบันเทคโนโลยีแมซซาชูเซตส์ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ปกติมากในอเมริกา ปกติเราจะเรียกคนพวกนี้ว่าผู้ทำลายเส้นโค้ง มันหมายถึงคนที่ทำลายเส้นโค้ง เพราะคะแนนของพวกเขามักจะทำลายยอดเส้นโค้งของการแจกแจงปกติเสมอ]
(ผู้แปล : น่าจะหมายถึง คนอื่นทำได้แค่ไหน คนนี้จะทำได้สูงกว่าเสมอ)
[ถ้าหากเยาวชนเข้มแข็งประเทศก็จะเข้มแข็ง มันเป็นเหมือนกับโพสต์ของเหรินเหรินไดอารี่! (กำปั้น) (กำปั้น)]
[…]
สิ่งที่ทำให้ลู่โจวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คือเขาไม่รู้ว่าใครแพร่งพรายเว่ยป๋อของเขา เพราะเขาได้รับคำขอให้เขียนวิทยานิพนธ์กว่าสองร้อยข้อความ
เขาพึ่งลงทะเบียนบัญชีนี้ไม่นาน เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับผู้ติดตามมามากกว่าห้าหมื่นคน
ในทางกลับกันจูฟางไฉถูกประชาชนโจมตี เขาเหมือนลูกแมวที่หวาดกลัว เขาไม่ได้ออกมาแถลงหรือเข้ามาเว่ยป๋อเลย
เขาจะไม่มีทางขอโทษ
แต่ประโยชน์ของการเป็นเต่าคืออะไร?
แม้ว่าเขาจะมีกระดองเต่าที่ทำจากเหล็กกล้า ผู้อื่นก็ยังสามารถกระทืบคุณจนตายได้จากด้านบน
จูฟางไฉไม่เคยคิดว่าโพสต์สบประมาทโพสต์ที่สามจะกลายเป็นโพสต์สุดท้ายที่เขาได้โพสต์
เขาเปิดคอมพิวเตอร์แล้วล็อคอินเข้าไปเพื่อดูจำนวนผู้ติดตามที่เขาสูญเสีย และแล้วเขาก็แปลกใจ
บัญชีเว่ยป๋อของเขาถูกแบน…
เมื่อจูฟางไฉเห็นข่าว เขาก็รู้สึกเหมือนเขาถูกความมืดกลืนกินจนเกือบเป็นลม
เขาเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างโง่งม
ผู้ติดตามสามล้านกว่าคน…
หายไปในพริบตา
สิ่งที่ทำให้เขาเศร้าไม่ใช่แค่เรื่องของแฟนคลับที่ติดตามเขาเท่านั้น มันเป็นรายได้โฆษณาห้าแสนหยวนต่อเดือนด้วย
บัญชีเขามีค่ามากกว่าสิบล้านหยวน!
มันเหมือนหัวใจเขาหลั่งเลือด มันทนทานไม่ได้ จูฟางไฉหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาฝ่ายบริการลูกค้าของเว่ยป๋อ
ทันทีที่มีคนรับสาย เขาก็ร้องตะโกน “ทำไมพวกคุณถึงแบนบัญชีฉัน? ฉันทำอะไรผิด! ฉันขอเตือน ถ้าคุณไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ฉัน ฉันจะร้องเรียน!”
ฝ่ายบริการลูกค้าฟังคำร้องเรียนของเขาอย่างใจเย็นแล้วกล่าวอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมขอทราบบัญชีเว่ยป๋อของท่านด้วยครับ”
จูฟางไฉยังคงโกรธ เขานึกได้ว่าเขายังไม่ได้บอกชื่อ เขาจึงรีบสงบใจลง “ฉันชื่อจูฟางไฉ”
“โปรดรอสักครู่” หลังจากนั้นไม่นานฝ่ายบริการลูกค้าก็กล่าวต่อ “สวัสดีครับ เราระงับบัญชีเว่ยป๋อของท่านเนื่องจากการโพสต์ข้อมูลที่เป็นภัย ท่านละเมิด[ข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิของผู้ใช้เว่ยป๋อ]…”
จูฟางไฉโกรธมาก เขาขัดจังหวะแล้วถามด้วยความโกรธ “ฉันละเมิดข้อไหน?! ฉันกำลังใช้อิสระภาพในการพูด คุณไม่มีสิทธิ์หยุดฉัน! ฉันขอเตือน ปลดล็อคบัญชีของฉันเดี๋ยวนี้หรือจะให้ฉันฟ้องคุณ…”
ฝ่ายบริการลูกค้ายังคงใจเย็น “ขอโทษครับ การละเมิดดังกล่าวถูกตรวจสอบโดยแผนกควบคุมดูแลความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตของรัฐบาล เราไม่สามารถปลดแบนได้ โปรดร้องทุกข์ผ่านช่องทางตุลาการ”
แผนกควบคุมดูแลความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตสาธารณะ…
เราไม่สามารถปลดแบนได้…
โปรดร้องทุกข์ผ่านช่องทางตุลาการ…
ทุกประโยคเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยเขาอย่างไร้ความปราณี
จูฟางไฉแทบกระอักเลือดบนคีย์บอร์ด
อย่างไรก็ตามโชคร้ายของเขายังไม่จบ ขณะที่เขาวางสาย เขาก็ได้รับอีกสาย
เมื่อเขารับโทรศัพท์ จูฟางไฉกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ฮัลโหล…”
“พัสดุems รบกวนลงมารับข้างล่างหน่อยครับ…”
พัสดุ?
ช่วงนี้ฉันไม่ได้ซื้อของออนไลน์เลย…
จูฟางไฉชะงักชั่วครู่ เขาถามอย่างสับสน “พัสดุอะไร?”
“มันเป็นเอกสาร ผมจะดูให้คุณ มันเป็นเอกสารอะไรสักอย่าง” คนส่งของกล่าว เขายืนอยู่ข้างรถตู้ เขาเอาโทรศัพท์หนีบไว้ซอกคอแล้วหันพัสดุไปมา “เมืองจินหลิง…ศาล? มันเป็นพัสดุของคุณแน่นอน เชิญมารับด้วยครับ!”
จูฟางไฉวางสายเงียบๆแล้วโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ
เขาเหยียดกายบนเก้าอี้แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ
ผ่านควันบุหรี่ เขาสามารถมองเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาดูเหมือนชายแก่อายุเก้าสิบปี…