ในขณะที่คณะกรรมการโนเบลสาขาเคมีกำลังถกเถียงกันว่าลู่โจวควรจะได้รับรางวัลนี้หรือไม่ วิทยานิพนธ์ของพีอาร์เอ็กซ์ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อแวดวงอุตสาหกรรมฟิสิกส์อยู่ดี
ลู่โจวได้รับโทรศัพท์และอีเมลมากมายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ทั้งอีเมลจากศาสตราจารย์แฟรงก์ วิลกเซคและศาสตราจารย์คลัสส์ วอน คลิทซิ่ง ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับผลงานของเขา
ขนาดคนที่ไม่รู้จักลู่โจวก็ยังอยากรู้อยากเห็นเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางส่วนที่เป็นคำเชิญจากการประชุมวิชาการอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น งานสัมมนาระดับนานาชาติของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศระดับต้นที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ผู้จัดงานเชิญให้เขาทำรายงานหนึ่งชั่วโมงเรื่องความปั่นป่วนของพลาสมา
ปกติแล้ว ลู่โจวจะงานเยอะ คิวสัมมนาของเขาก็เยอะไม่แพ้กัน
ท้ายที่สุดแล้ว ในที่ประชุมต่างก็พูดถึงประเด็นอย่างนิวเคลียร์ฟิวชันอย่างมากมาย หากเขาต้องการสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันเดโมเครื่องแรกภายในปี 2025 ลู่โจวก็คงจะต้องใช้โอกาสทางวิชาการระดับนานาชาติของตน…
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขากำลังตกอยู่ในสถานะ “ว่างงาน”
หลังจากได้รับภารกิจมาแล้ว ลู่โจวก็ยังไม่ได้ทำอะไรในทันที เขาเลือกที่จะให้เวลาตัวเองพักผ่อนประมาณหนึ่งสัปดาห์
บางทีเขาก็เดินเล่นในมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็ขับรถออกไปสำรวจด้านนอก
อันที่จริงแม้ว่ารัฐนิวเจอร์ซีย์จะมีขนาดเล็ก แต่มันก็มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เยี่ยมชม
เช่น สวนสาธารณะซัสเซ็กซ์เคาน์ตี้ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงจากฤดูใบไม้ร่วง หรือไม่ก็อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกสีขาวที่สูงกว่าสองร้อยยี่สิบฟุต หากปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุด มันก็จะสามารถมองเห็นได้ทั้งสามรัฐเลย
หลังจากที่เดินทางมายังอเมริกาเหนือเป็นเวลาพักใหญ่ ลู่โจวก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ให้ความสนใจกับการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานกับสิ่งรอบตัวมานานแล้ว สิ่งเดียวที่น่าเสียใจก็คือทัวร์ฤดูใบไม้ร่วงที่มีเพียงเขาคนเดียว และข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะพกเพียงไม่กี่ชิ้น
แต่ทว่าเสี่ยวไอก็ยังอยู่กับเขาตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นที่สวนสาธารณะไฮพอยท์ในนิวเจอร์ซีย์ หรือในวิทยาเขตพรินซ์ตัน ลู่โจวก็ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่เลย เขามักจะคิดถึงปัญหาที่ต้องแก้อยู่ตลอด
หากระบบมีวิธีแก้ปัญหาทั้งหมดของอารยธรรมหรือมนุษยชาติตั้งแต่แรก มันก็น่าจะบอกคำตอบให้กับลู่โจวโดยตรง แทนที่จะให้เขาค้นคว้าและหาคำตอบด้วยตัวเองแบบนี้
ถึงอย่างไร ระบบก็ทำเพียงแค่แนะนำให้ลู่โจวศึกษาความลึกลับเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ลู่โจวสนุกกับการเรียรู้ อันที่จริง เขารู้สึกว่าความรู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณภายใต้คำแนะนำของระบบ เขาไม่เพียงแต่อายุมากกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่เขายังประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยหวังว่าจะทำได้ในช่วงชีวิตอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้ลู่โจวงงงวยที่สุดคือแรงจูงใจอะไรทำให้ระบบทำเช่นนั้น
ลู่โจวพลันสงสัยมานานแล้ว
หรือจะมีมนุษย์ต่างดาวที่กำลังสร้างความบันเทิงแก่มนุษย์ชั้นต่ำอยู่? หรือมันเป็นระบบที่มาจากอนาคต?
อันที่จริง ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด มันซับซ้อนยิ่งกว่าระบบฟิสิกส์ที่สับสนวุ่นวายเสียอีก
ถึงอย่างไร ลู่โจวก็รู้สึกเหมือนว่าถ้าระบบไม่มีแรงจูงใจอะไรอยู่เบื้องหลัง ระบบก็คงไม่ใช่หลักการที่น่าเบื่อเช่น “มนุษย์จะต้องแก้ปัญหาของตนเอง” แบบนี้หรอก
ระบบต้องมีแรงจูงใจที่ลึกซึ้งกว่านั้นแน่ ซึ่งมันมาจากไหนก็ไม่มีใครรู้ได้
ทันใดนั้น ลู่โจวก็เริ่มมีความคิดแปลกประหลาด
จะเป็นอย่างไรถ้าการคาดเดาของโจวที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเฉพาะแมร์แซน ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัค หรือแม้แต่สมการนาเวียร์-สโตกส์เป็นเพียงคำถามฝึกหัดที่ระบบจัดหาให้?
และใช้คะแนนทั่วไปในการแลกเปลี่ยนกับคำตอบ…
ในกรณีนี้ เมื่อวิชาทั้งหมดของลู่โจวถึงระดับสิบ ระบบจะมอบ “จดหมายจบการศึกษา” หรือ “จดหมายตอบรับ” สำหรับระดับการศึกษาที่สูงขึ้นให้ลู่โจวกันแน่?
เมื่อคิดเช่นนั้น… เรายังไม่ได้เป็นศาสตราจารย์สักหน่อย เพราะเรายังศึกษาระบบไม่จบเลย!
ในตอนนี้ ลู่โจวกำลังนั่งอยู่ข้างทะเลสาบคาร์เนกี พร้อมกับจ้องมองไปยังทะเลสาบที่กำลังส่องแสงเงาระยิบระยับในยามพระอาทิตย์ตก บรรยากาศตอนนี้ทำให้เขามีแรงบันดาลใจมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ปัญหาที่เผชิญอยู่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้จากทะเลสาบอยู่ดี
“สำหรับคุณแล้ว คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเลยงั้นเหรอ?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้
ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลู่โจวรู้สึกว่าจิตใจของมนุษย์นั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับจักรวาล…
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยเริ่มดังมาจากด้านข้าง เสียงนั้นดึงความคิดของเขากลับคืนสู้ความเป็นจริง
“นี่นายกำลังมองหาอะไรอยู่เหรอ?”
ลู่โจวหันไปมองทางต้นเสียงทันที เขาพบว่าโมลิน่ากำลังยืนอยู่
ลู่โจวจ้องมองไปยังโมลิน่าจนทำให้เธอรู้สึกราวกับมีอะไรผิดปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ลู่โจวส่ายหัว
“ไม่มีอะไรหรอก… แค่เจอปัญหาที่ยากจะเข้าใจนิดหน่อย”
“เดี๋ยวนะ… มีคำถามหรือปัญหาที่นายไม่เข้าใจด้วยเหรอเนี่ย?” โมลิน่าเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฉันคิดว่านายรู้ทุกอย่างบนโลกนี้เสียอีก”
ลู่โจวได้ยินจึงยิ้มและส่ายหัว
“อะไรที่ทำให้เธอคิดแบบนั้นกันล่ะ? แต่ก็เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก”
ทุกเย็น ทั้งอาจารย์และนักเรียนของสถาบันพรินซ์ตันที่รักการเล่นกีฬาก็มักจะรวมตัวกันวิ่งอยู่ข้างทะเลสาบคาร์เนกี ซึ่งโมลิน่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
ลู่โจวที่มักชอบนั่งที่ริมทะเลสาบก็บังเอิญเจอเธอที่นี่เสมอ
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเปรียบเสมือนเพื่อนที่คอยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการ
ในสถานที่อย่างพรินซ์ตัน นอกเหนือจากนักเรียนของตนแล้ว ลู่โจวเองก็มีเพื่อนน้อยมากที่อายุใกล้เคียงกัน
เขาจ้องมองทะเลสาบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโมลิน่าก็พูดขึ้น “นายเหมือนคนพวกนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”
ลู่โจวกล่าว “พวกไหนกัน?”
“ก็พวกคนเก่าคนแก่ที่อยู่ในสถาบันอย่างพรินซ์ตันไง” โมลิน่าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ถ้าพวกสถาบันขั้นสูงของพรินซ์ตันแต่งตั้งให้คุณเป็นนักวิจัยไปตลอดชีวิต ฉันก็จะไม่แปลกใจเลย”
นักวิจัยที่ดำรงตำแหน่งที่สถาบันการศึกษาขั้นสูงนั้นแตกต่างจากศาสตราจารย์ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในพรินซ์ตันเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ มีนักวิจัยที่ดำรงตำแหน่งน้อยกว่าสามสิบคนในบรรดามหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งสี่แห่ง
ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ก็เป็นหนึ่งในนักวิจัยในตำนานสังกัดพรินซ์ตัน ซึ่งเขาอยู่ในระดับสูงมาก
ในตลอดช่วงชีวิตความรุ่งโรจน์นั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่นักวิจัยรุ่นใหม่จะต้องเจอ
เมื่อได้ยินคำพูดของโมลิน่า ลู่โจวก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “นักวิจัยที่ดำรงตำแหน่ง? ฉันจะถือว่าเธอกำลังอวยพรให้ฉันเจอแต่สิ่งดีดีแล้วกันนะ”
โมลิน่าหัวเราะออกมาอีกครั้ง “จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ แต่นายรู้ไหม? เวลานายครุ่นคิด นายเหมือนคนแก่เลยนะ”
ลู่โจวยิ้มและส่ายหน้า “อย่าพูดแบบนั้นสิ ถ้าเราเทียบกัน เธออายุมากกว่าฉันอยู่แล้ว”
โมลิน่า…
ไม่รู้ว่าทำไม ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เธอก็แทบอยากจะโยนแก้วกาแฟใส่หน้าลู่โจวขึ้นมา…
…………………………………………