นี่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
ทันทีที่ลู่โจวขับรถไปยังอพาร์ทเมนท์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เขาพลันจอดรออยู่บนถนนยางมะตอย ทว่า เฉินยู่ซานไม่ใช่คนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น
นอกจากนี้ ยังมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้วย
เฉินเป่าฮัวเผยยิ้มและยื่นมือขวาออกมา “สวัสดีครับ ศาสตราจารย์ลู่ ผมคือพ่อของเฉินยู่ซานเอง ต้องขอโทษด้วยมารบกวนคุณในระหว่างการทำงาน”
ลู่โจวพลันจับมือตอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณเฉิน”
เฉินเป่าฮัวพยักหน้าด้วยความพอใจ
ไม่เลวนี่ ชายคนนี้ค่อนข้างสุภาพเลยทีเดียว
แต่ในไม่ช้า เฉินเป่าฮัวก็ตระหนักได้ว่ามีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องคุยกับลู่โจว เขาจึงพลันกระแอมและเข้าประเด็น
“ลูกผมน่าจะบอกเรื่องนั้นกับคุณไปแล้วใช่ไหมครับ?”
ลู่โจวพลันขมวดคิ้ว
เรื่องอะไรกัน?
ถึงกระนั้น ทันทีที่ลู่โจวกล่าวคำถามกลับไป เขาก็พลันเห็นสายตาของเฉินยู่ซาน
ลู่โจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเดาะลิ้น
“อ่า ใช่ครับ เธอบอกผมแล้ว…”
เฉินเป่าฮัวเผยยิ้ม
“ผมจองโต้ะอาหารจีนเอาไว้ให้แล้ว เราไปคุยกันที่นั่นกันเถอะ จะเอารถลูกผมหรือรถคุณไปดีล่ะ?”
“รถผมก็ได้ครับ” ลู่โจวกล่าว
แม้ว่าเฉินเป่าฮัวจะขับรถเป็น แต่เขาก็ไม่มีใบขับขี่ของสหรัฐอเมริกา นั่นทำให้ลู่โจ่วอาสาขับให้เอง
หลังจากขึ้นรถ เฉินเป่าฮัวก็เหลือบมองไปที่เบาะนั่งคนขับ
“เป็นรถที่นั่งสบายดีนะครับ”
ลู่โจวเผยยิ้มพร้อมเปิดแผนที่นำทาง “ตามสบายครับ เน้นความปลอดภัยก่อนดีกว่า… ว่าแต่ ร้านอาหารจีนอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
ทันทีที่เฉินซู่บอกตำแหน่ง ลู่โจวก็สตาร์ทรถและขับออกไป
ลู่โจวมองไปยังเฉินยู่ซานผ่านกระจกหลัง มันเกือบจะเหมือนกับว่าทั้งคู่กำลังสื่อสารผ่านสายตา
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน?” ลู่โจวพลันส่งสายตาไป
“ขอโทษที เดี๋ยวไปอธิบายให้ฟังทีหลังนะ” เฉินยู่ซานส่งสายตากลับ
แต่ทว่า เฉินยู่ซานนั้นเผยท่าทีที่ซับซ้อนเกินไป แต่ท้ายที่สุดแล้ว ลู่โจวก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร
เขายังคงสับสนเหมือนเดิม
เธอบอกว่าจะชวนฉันไปกินข้าว… แต่ทำไมถึงมีพ่อแม่เธอมาด้วยล่ะเนี่ย?
ในระหว่างนั้น เฉินเป่าฮัวก็พลันเห็นลู่โจวและเฉินยู่ซานสบตากัน
ทันทีที่มองไปยังลูกสาวของตัวเองและผู้ชายตรงหน้า เขาก็เริ่มขมวดคิ้ว
สองคนนี้…
ไม่มีอะไรกันจริงงั้นหรือ?
เฉินเป่าฮัวพลันคิดว่าลูกสาวของตนกำลังซ่อนความลับบางอย่างอยู่ เขาพลันขมวดคิ้วและรู้สึกสับสน
หากไม่ใช่เพราะมีธุระต้องสะสาง เขาก็คงจะไม่อ่อนข้อให้ทั้งสองอย่างแน่นอน
…
ไม่นาน… พวกเขาก็มาถึงที่หมาย
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในร้านอาหาร เฉินยู่ซานก็ดึงลู่โจวเอาไว้
“ฉันขอโทษ!” เธอเอามือปิดตาพร้อมกล่าวขอโทษอย่างจริงจัง “ฉันยังไม่ได้บอกอะไรนายเลย อันที่จริง… พ่อของฉันอยากเจอนายมากเลยน่ะ! แต่ฉันไม่รู้ว่าจะบอกนายยังไงดี มันก็เลย…”
“พ่อของเธอเข้าไปพัวพันกับแวดวงคณิตศาสตร์งั้นเหรอ?” ลู่โจวกล่าว
“ไม่ใช่ เขาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์” เธอกระซิบ
พรรคคอมมิวนิสต์?
แต่หลังจากที่เธออธิบาย ลู่โจวก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
ลู่โจวจำได้ว่าโครงการพันอัจฉริยะนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคคอมมิวนิสต์
อยากเป็นแบบนั้น เฉินเป่าฮัวก็อาจเป็นคนที่มีเส้นสายมากมายเลยใช่ไหม?
อันที่จริง ลู่โจวไม่ได้รู้มากนักเกี่ยวกับรัฐบาลจีนเลย อีกทั้ง เขาก็ไม่สนใจด้วย
ไม่นาน ลู่โจวก็พลันครุ่นคิดว่าเฉินเป่าฮัวต้องการที่จะคุยอะไรกับเขากันแน่
หลังจากเข้าไปในร้านอาหาร ทุกคนก็นั่งลงที่โต๊ะ เฉินยู่ซานนั่งถัดจากพ่อของเธอ ส่วนลู่โจวนั่งตรงข้ามทั้งสองคน
เฉินเป่าฮัวกระแอมและมองไปยังลูกสาวพร้อมกล่าวออกมา “ยู่ซาน ลูกไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้ พ่อขอคุยกับศาสตราจารย์ลู่สักหน่อย”
“โอ๊ะ…”
ยู่ซานเลื่อนเก้าอี้ออกอย่างเชื่อฟังและลุกขึ้น
เธอคงจะเป็น “เด็กดี” ของที่บ้านแน่เลย…
เอิ่ม…
ไม่คิดไม่ฝันเลย!
ลู่โจวพลันสลัดความคิดแปลก ๆ ออกไปและกระแอมออกมา
“เอ่อ… เรื่องที่คุยต้องการจะพูดกับผมเป็นความลับหรือเปล่าครับ?”
จากนั้น เฉินเป่าฮัวพูดออกมาพร้อมเผยยิ้ม
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย อย่าคิดมากน่า…”
“ถ้าไม่ได้มีความลับอะไร งั้นก็ให้ลูกของคุณนั่งอยู่ด้วยกันเลยสิครับ” ลู่โจวเผยยิ้ม
มันค่อนข้างน่าสงสารไปหน่อยหากปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกคนเดียว
เฉินยู่ซานมองไปยังลู่โจวและเดินกลับมานั่งที่เดิม
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการถูกกีดกันให้ออกไปข้างนอก
ระหว่างที่มองไปยังลูกสาว เฉินเป่าฮัวก็กระแอมและพูดออกมา
“งั้นผมขอเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน”
เฉินเป่าฮัวรู้ดีว่าการล้างสมองนักปราชญ์ผู้ชาญฉลาดนั้นไม่มีประโยชน์อะไร และคนอย่างลู่โจวที่อ่านหนังสือมาเป็นร้อยเล่มก็มักจะมีความคิดและมุมมองทางการเมืองเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เขาคงจะไม่ชอบอะไรอ้อมค้อมแน่
“เบื้องบนทั้งชื่นชมและต้องการทักษะความสามารถของคุณ พวกเขายังคงรอคอยให้คุณกลับไปทำงานวิจัยที่จีนอีกครั้ง”
“เพื่อให้รู้ว่าเราให้ความสำคัญและสนใจในตัวคุณมากแค่ไหน เราจะจ่ายเงินให้คุณสามเท่าของสถาบันพรินซ์ตัน แถมคุณจะไม่ต้องเสียภาษีเลยด้วย”
“เราขอรับประกันว่าคุณจะได้เงินทุนในการวิจัยมากกว่าสามเท่าจากที่เคยได้ในตอนนี้ รัฐบาลกลางจะจ่ายเงินตรงนั้นให้ในรูปแบบของกองทุนพิเศษ ถ้าคุณไปมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการวิจัยแห่งไหน ก็จะได้สิทธิพิเศษนั้นทันที ในนามของพรรคคอมมิวนิสต์ ผมรับรองได้เลยว่างานวิจัยของคุณจะได้รับความสนใจในระดับสูงสุด”
ท้ายที่สุด เฉินเป่าฮัวก็กล่าวคำพูดด้วยความจริงใจ “ถ้าคุณต้องการอะไรนอกเหนือจากนี้ ก็บอกผมมาได้เลย ผมจะไปบอกกับเบื้องบนให้”
เงินเดือนสามเท่า…
ลู่โจวเผยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
เงินเดือนประจำปีปัจจุบันของลู่โจวในตอนนี้คือสี่แสนดอลลาร์ หากคิดเป็นสามเท่า เขาก็จะได้เงินเดือนตั้งหนึ่งล้านสองแสนดอลลาร์!
และหากแปลงเป็นเงินหยวนจีน มันจะมีมูลค่ามากกว่าแปดล้านหยวน! อีกทั้ง ลู่โจวยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
แม้ว่าเขาจะเป็นนักวิชาการที่ได้รับรางวัลเหรียญฟิลด์ แต่ข้อเสนอตรงหน้าก็ดูเกินจริงไปมาก
แม้ว่าลู่โจวจะไม่ต้องการเงินทุนวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากนัก แต่การได้รับทุนจากรัฐบาลก็ยังน่าสนใจมาก ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะได้รับการผ่อนปรนขั้นตอนการอนุมัติที่ซับซ้อนมากมาย
หลังจากคิดอยู่สักพัก ลู่โจวก็เผยยิ้มพร้อมตอบกลับ
“อันที่จริง ผมไม่ต้องการอะไรเลย ผมแค่ไม่อยากให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงในแวดวงทางวิชาการ”
เฉินเป่าฮัวพยักหน้าและจำคำพูดลู่โจวเอาไว้ และในระหว่างที่เขากำลังจะพูด โทรศัพท์ของลู่โจวก็พลันดังขึ้น
ลู่โจวรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและปิดเสียงเรียกเข้า ทันทีที่ลู่โจวเห็นว่ามันเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก เขาก็ไม่อยากขัดจังหวะการสนทนา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงปฏิเสธการรับสายไป
ทว่า ผ่านไปเพียงแค่สองวินาที ไม่ทันที่โทรศัพท์จะถูกเก็บเข้าไปในเสื้อ มันกลับดังขึ้นอีกครั้ง
มีเรื่องด่วนอะไรกัน?
ระหว่างที่ลู่โจวกำลังจะกดตัดสายอีกครั้ง เฉินเป่าฮัวก็พูดแทรกขึ้นมา “รับโทรศัพท์ก่อนก็ได้ครับ เผื่อมีเรื่องด่วนอะไรที่ต้องคุย”
ทันทีที่ได้ยิน ลู่โจวก็เผยยิ้ม “ถ้าเป็นเรื่องเรื่องด่วนอะไร มันก็ควรจะไปดังในห้องทำงานของผมสิ ไม่ใช่ที่นี่”
ทั้งนี้ ห้องทำงานของลู่โจวนั้นจะมีคนเข้าเวรอยู่ตลอดเวลา หากมีอะไรเกิดขึ้น… เวร่าจะเป็นคนรับสายและแจ้งเขาเอง
จากประสบการณ์ของลู่โจว เบอร์แปลกนี้น่าจะเป็นพวกโทรผิดหรือไม่ก็พนักงานขายสินค้าอะไรสักอย่าง
ถึงกระนั้น ทันทีที่เฉินเป่าฮัวพูดจบ ลู่โจวก็กดปุ่มรับพร้อมเอาโทรศัพท์แนบหู
แต่ถึงกระนั้น เนื่องจากเฉินเป่าฮัวยังยืนกราน ลู่โจวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและยกมาแนบหู
“สวัสดีครับ?”
ลู่โจวใช้เวลาคุยประมาณสองนาที…
เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย ท่าทีของลู่โจวก็เริ่มเปลี่ยนไป
ไม่นานนัก… ลู่โจวก็พลันวางสาย
หลังจากวางสายแล้ว ลู่โจวมองไปยังโทรศัพท์ในมือและเงียบไปชั่วครู่
แม้ว่าเฉินเป่าฮัวจะอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสมควรทำหรือไม่
เฉินยู่ซานที่กำลังทานอาหารอยู่พลันมองไปยังลู่โจวที่กำลังมีสีหน้าที่แปลกไป เธอพลันคิดทันทีว่าต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่ ไม่นานนัก เธอก็พลันกล่าวคำพูดออกมา “เกิดอะไรขึ้นกัน?”
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่โจวก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองและลังเลเล็กน้อย
“ผม…”
“น่าจะชนะรางวัล…”
……………………………………………