เสี่ยวถงเขย่าแขนลู่โจวและยิ้มทะเล้น จากนั้นก็กล่าวถาม “พี่ชาย คิดถึงน้องไหม?”
ลู่โจวลูบผมเสี่ยวถงเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน พี่คิดถึงเธอแทบตายเลยล่ะ”
ลู่โจวมองไปยังพ่อแม่ของตนที่กำลังเดินมาหาแล้วพูดว่า “พ่อกับแม่มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะครับ?”
ฟางเหม่ยมองไปที่ลูกชายพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เราถึงตั้งแต่เช้าแล้ว โชคดีที่เพื่อนลูกไปรับ ไม่งั้นเราคงไม่รู้ทางแน่ ฝากขอบคุณพวกเขาด้วยนะ”
“โอเคครับ”
ลู่โจวมองไปยังเฉินยู่ซาน เธอเองก็มองไปยังลู่โจวด้วยรอยยิ้มที่พอใจ
แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่ลู่โจวก็อ่านสีหน้าของเธอออก
“แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะครับ?” ลู่โจวกล่าว
เสี่ยวถงมองไปที่พี่ชายที่อยากรู้อยากเห็นพร้อมโบกโทรศัพท์ในมือ “เพราะฉันเอง”
ลู่โจวจำได้ว่าเสี่ยวถงมาเยี่ยมเขาที่อเมริกา และเธอก็กลายเป็นเพื่อนกับเฉินยู่ซานและหานเมิ่งฉี
เฉินยู่ซานมองไปยังลู่โจวที่กำลังอยู่กับครอบครัวพร้อมเผยยิ้ม
“พี่! ไม่เจอกันนานเลย คิดถึงกันบ้างไหมเนี่ย?”
ลู่โจวยิ้มด้วยความรู้สึกเขินอาย “นานมากงั้นเหรอ? แค่เดือนที่แล้วเองนะ?”
“พี่! แค่เดือนเดียวก็ถือว่านานแล้ว!” เสี่ยวถงกล่าว
เฉินยู่ซานมองไปยังเสี่ยวถง “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวหนูก็ชินเอง”
…
หลังจากได้คุยกันเล็กน้อย ทุกคนก็พากันเดินเข้ามาในโรงแรม
ลู่โจวและครอบครัวพักอยู่ในห้องบนชั้นสี่ ส่วนคนอื่นพักอยู่ที่ชั้นสาม
ฝั่งห้องฉินเยว่และพวกผู้ชายนั้นอยู่ทางขวาสุดของทางเดิน
ห้องของเฉินยู่ซานและเวร่าอยู่ทางด้านซ้ายสุดของทางเดิน
พวกเขาเดินออกจากลิฟต์ชั้นสามและสวนทางกัน
เหว่ยเหวินดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นเขาจึงกล่าวถาม “ลู่โจวคือถือเป็นน้องของเฉินยู่ซาน งั้นเราควรเรียกเธอว่าพี่สาวดีไหม?”
ฉินเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราควรเรียกเธอว่าคุณป้ามากกว่านะ”
“ไปคิดมาจากไหนกัน?” เหว่ยเหวินกล่าว
“ไม่เคยอ่านนิยายหรือยังไงกัน?”
“…”
เพราะทั้งสองคนพูดกันภาษาจีนกลาง ฮาร์ดี้จึงสับสนไปหมด ในขณะที่เขาเห็นทั้งสองคุยกันอย่างจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่จะถามแทรก “พวกนายคุยอะไรกัน?”
“เรากำลังคุยกันว่าจะเรียกเฉินยู่ซานว่ายังไงดี?”
ฮาร์ดี้ยิ่งงงมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก “แล้วได้ข้อสรุปหรือยัง?”
เหว่ยเหวินพยักหน้าพร้อมกล่าวคำพูด “ได้แล้ว นั่นก็คือ…”
เหว่ยเหวินชะงักไป
เขาสบตากับฉินเยว่ ทั้งคู่รู้สึกสับสน
เราพูดคำนี้ว่าอย่างไรดี… หากเป็นภาษาอังกฤษ?
ในทางกลับกัน เฉินยู่ซานและเวร่ากำลังเดินกลับห้อง
ทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ถึงกระนั้นเวร่าเองก็ชอบแอบชำเลืองมองเฉินยู่ซานเป็นครั้งคราว
เธอต้องยอมรับว่าเฉินยู่ซานเป็นผู้หญิงที่สวยไม่น้อยเลย ทั้งรูปร่างและหน้าตา
โดยเฉพาะหน้าอกใหญ่ๆ ของเธอ…
เวร่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เผลอมอง
เธอมียีนผิวซีดและผมสีบลอนด์ แต่ทว่า มีอยู่สองอย่างที่เธอไม่ได้รับการถ่ายทอดมาจากยีน
หนึ่งคือยีนความสูง และสองคือยีนที่ทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น…
ทว่าเฉินยู่ซานเองก็สังเกตเห็นเวร่ามองมาที่เธอเป็นครั้งคราว เธอจึงเอียงศีรษะและยิ้มให้พร้อมกล่าวว่า
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไร” เวร่าบังเอิญสบตากับเฉินยู่ซานจึงรู้สึกตื่นตระหนก จากนั้นเธอก็รีบมองไปทางอื่น
เฉินยู่ซานเองก็ต้องยอมรับว่าเวร่าเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก
เธอมองไปยังหญิงสาวตัวเล็กพร้อมกล่าว “ฉันชื่อเฉินยู่ซาน แล้วเธอล่ะ?”
“ฉัน…ฉันชื่อเวร่า” เธอพูดด้วยความลังเล
“เวร่า? ชื่อน่ารักดีนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เฉินยู่ซานกล่าวพร้อมเผยยิ้ม
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”
แม้ว่าเวร่าจะเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่เธอก็รู้สึกประทับใจในตัวเฉินยู่ซานมาก
แต่ทว่าเธอกลับรู้สึกแปลกเล็กน้อย เพราะตอนแรกเธอคิดว่าเฉินยู่ซานน่าจะเป็นผู้หญิงที่ก้าวร้าว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย
นี่หมายความว่าทั้งคู่ก็ไม่ต้องเป็นศัตรูกันแล้วใช่ไหม?
จากนั้น เวร่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ใจ
…
หลังจากเก็บกระเป๋าไว้ในห้องพักของโรงแรม ลู่โจวก็พาเพื่อนและครอบครัวไปทานอาหารเย็นกับสเตฟาน
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ลู่โจวก็ได้รับข้อความจากศาสตราจารย์ถัง
ทันทีที่ลู่โจวได้รู้ว่าพวกเขาเพิ่งลงจากเครื่องบิน เขาก็รีบส่งที่อยู่ของโรงแรมให้ทันที
เวลาผ่านไปไม่นาน แท็กซี่ก็มาจอดที่ทางเข้าโรงแรม
เมื่อนักวิชาการหลู่ลงมาจากรถแท็กซี่ เขาก็เห็นลู่โจวยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงแรม จากนั้นเขาก็โบกมือทักทายและเดินเข้าไป
“ลู่โจว กว่าจะได้เจอกันนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ทันทีที่ลู่โจวได้ยินเช่นนั้น เขาก็เผยยิ้ม
“ศาสตราจารย์ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเจอคุณนะ แต่พอผมไปที่มหาวิทยาลัยจินหลิงทีไร คุณก็ไม่อยู่ทุกที”
ถือเป็นโชคร้าย
ทั่วโลกมีการประชุมฟิสิกส์เชิงทฤษฎีนับไม่ถ้วน นักวิชาการลู่ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนของโครงการการทดลองที่ปักกิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นตัวแทนของสมาคมฟิสิกส์เชิงทฤษฎีทั้งหมดของจีน
เขาไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมประชุมอย่างลู่โจวได้
เขามักจะใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินแทบทุกวันเกือบตลอดทั้งปี
ลู่โจวเองก็เคยไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยจินหลิงมาแล้วสองสามครั้งก่อนหน้านี้
แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้พบกับนักวิชาการหลู่เลย ไม่ใช่ว่าชายแก่ไม่อยากจะเจอลู่โจวนะ แต่มันเป็นเพราะเขามาเจอไม่ได้ต่างหาก…
ศาสตราจารย์ถังพลันหัวเราะทันทีที่ได้ยินลู่โจว
“ฉันเป็นพยานได้เลย ทุกครั้งที่ลู่โจวมาที่มหาวิทยาลัยจินหลิง เขาจะมาหานายที่ห้องทำงานทุกคร้ัง แต่ก็ไม่เคยเจอเลย”
ทันทีที่นักวิชาการหลู่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกอายเล็กน้อย จากนั้น เขาจึงกระแอมเบาๆ
“ข้างนอกมันหนาวเนอะ ไปคุยข้างในกันดีกว่า”
จากนั้น พวกเขาก็เดินเข้าไปยังตัวโรงแรม
ในระหว่างที่ศาสตราจารย์หลี่หรงเอินมองดูโรงแรมขนาดใหญ่อยู่นั้น เขาก็กล่าวออกมา “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนจีนคนหนึ่งจะกลายเป็นนักคณิตศาสตร์คนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี แล้วตอนนี้นายรู้สึกยังไงล่ะ? ประหม่าไหม?”
ลู่โจวเผยยิ้มพร้อมตอบกลับ “ไม่เป็นอะไรเลยครับ ตอนที่มารับรางวัลครั้งที่แล้วก็แบบนี้”
“แต่มันก็มีอะไรต่างไปจากเดิมอยู่นะ อย่างเช่นคนที่มาร่วมงานด้วย…” นักวิชาการหลู่เผยยิ้มและส่ายหัว
ศาสตราจารย์มองไปยังนักเรียนของตนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น เขาก็เผยยิ้มออกมา
“มันน่าประหลาดใจแล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยนะกับความสำเร็จของนาย ฉันเองเป็นศาสตราจารย์มาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาสอนเด็กนักเรียนที่จะได้รับทั้งรางวัลโนเบลและเหรียญฟีลด์เลยด้วย”
ศาสตราจารย์ถังหยุดพูดไปชั่วครู่ “พิธีมอบรางวัลกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้นายไม่เพียงแต่เป็นเหมือนตัวแทนของตัวนายเองเท่านั้น แต่นายยังเป็นตัวแทนของสมาคมวิชาการจีนทั้งหมดอีกด้วย ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เราจะเป็นกำลังใจให้นายไปถึงฝั่งฝันตลอดไป!”
การที่รู้ว่าศาสตราจารย์ถังพูดสิ่งนี้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจทำให้ลู่โจวพยักหน้าและกล่าวคำพูด
“ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดครับ!”
…………………………………..