ตอนที่ 464 ความเป็นผู้นำ (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ เมืองสตอกโฮล์มเข้าสู่ยามค่ำคืนอย่างสมบูรณ์ ทว่า ณ ประเทศจีน ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก พระอาทิตย์กำลังส่องแสง
รัฐบาลกลางได้วางแนวทางสำหรับรางวัลโนเบลเอาไว้แล้ว หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ข่าวสุดท้ายถูกนำไปเผยแพร่และออกอากาศถึงหกประเด็น และข่าวต่างประเทศอีกแปดประเด็น
แม้ว่าเวลาจะต่างกัน และสำนักข่าวจีนจะไม่ได้ทำการถ่ายทอดสดพิธีรับรางวัลโนเบลบนเว็บไซต์เหมือนอย่างสถานีโทรทัศน์ในยุโรปบางแห่ง แต่สำนักข่าวจีนก็ได้ปล่อยข่าวทั้งหมดออกมาพร้อมรายงานช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองระดับชาติ
บนหน้าจอโทรทัศน์ ลู่โจวสวมชุดทักซิโด้เดินขึ้นไปบนเวทีและรับรางวัลจากมือของสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่สิบหก กุสตาฟแห่งสวีเดน อีกทั้งยังได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมอีกด้วย
ช่วงเวลาที่ลู่โจวเห็นผู้ชมยืนปรบมือให้ เขาเห็นทุกอย่างอยู่ตรงหน้า หลายต่อหลายคนตื่นเต้น และบางคนตื่นเต้นจนน้ำตาซึม
โดยเฉพาะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาในโลกวิชาการและผู้ที่กำลังดิ้นรนในตำแหน่งงานวิจัย…
สำหรับเด็กนักศึกษาเหล่านั้น พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นความรุ่งโรจน์ของรางวัลโนเบลเท่านั้น แต่ยังเห็นถึงความหวังอีกด้วย
โลกทางวิชาการของจีนกำลังเติบโตขึ้น นักวิชาการของจีนกำลังก้าวหน้าไปทั่วโลก และพลังของคนจีนกำลังกำหนดวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใหม่
สำหรับคนที่ทำงานในด้านวิชาการ อะไรจะมีความสุขไปกว่านี้อีกล่ะ?
ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ในการสนทนาสุดร้อนแรงของชาวเน็ต ชื่อของลู่โจวได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในหัวข้อการค้นหาที่กำลังเป็นประเด็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ที่กำลังทำหน้าที่ในการเผยแพร่และถ่ายทอดข่าวสารได้รับการจับจ้องจากผู้คนทั่วทั้งโลก
[สุดยอด!]
[เทพลู่สุดยอดไปเลย!]
[เก้าล้านโครนา! มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะไม่น้อยเลยนะ!]
[ประเทศจีนสุดยอดไปเลย!]
[ที่ปรึกษาของเราบอกว่ายุคทองของนักวิจัยคือสามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น รางวัลโนเบลสำหรับนักวิชาการอายุยี่สิบสี่ปีเป็นอะไรที่น่ากลัวไม่น้อย]
[สิ่งที่น่ากลัวคือเขาอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเขาสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้ในทุกปี แม้แต่ไอน์สไตน์ยังสร้างปาฏิหาริย์ตอนอายุยี่สิบหกปี ทว่า เทพลู่ต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่…]
แน่นอน…แม้ว่ามันจะเป็นงานที่มีความสุข แต่ก็มักจะมีคู่แข่งผ่านไปผ่านมาอย่างน้อยคนสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตราบใดที่ผู้คนยังอยู่หน้าคีย์บอร์ด ทุกคนคือพวกปากดี
ถึงอย่างไร ความแตกต่างคือคนเหล่านี้มองปัญหาของประเทศจากมุมมองของนักการเมือง พวกเขาทั้งขาด “ความนึกคิด” ตลอดไปจนมุมมองที่ตัวเองมี
คนเหล่านี้แสร้งทำเป็นเหมือนว่าพวกเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสังคมนิยมและทุนนิยม
ด้วยเหตุนี้ นอกจากข้อความยินดีแล้ว มันก็มักจะมีข้อความไร้สาระปะปนอยู่
[เหลวไหล! ก็แค่รางวัลโนเบล! ยังไงก็เถอะ มันเป็นของพวกต่างชาติ คงจะเหมือนกับนักฟิสิกส์ที่ชื่อหยางนั่นสินะ แค่เขียนวิทยานิพนธ์ก็ได้รางวัลแล้ว วิทยาศาสตร์ทุกวันนี้คืออะไรกัน? ไม่ใช่การสร้างปืนใหญ่ ขีปนาวุธแล้วก็เครื่องบินหรือยังไงกัน? ถ้าทำไม่ได้ สร้างไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับประเทศหรอก! กลับมาก็เปลืองข้าวเปลืองเงินประเทศ!]
โพสต์ที่คล้ายกันแสดงถึงมุมมองของคนบางคนเสมอ
โชคดีที่คนประเภทนี้เป็นคนส่วนน้อย
แต่ในไม่ช้า คนเหล่านั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรวดเร็ว
[กินปืนใหญ่แล้วก็เครื่องบินเป็นอาหารหรือยังไง? คนโพสต์เป็นบ้าอะไรกัน?]
[การศึกษาภาคบังคับเก้าปีคงไม่มีความหมายอะไรเลยสินะ]
[ในนามของความรักชาติ ประเทศกำลังจะพังพินาศเพราะคนพวกนี้แหละ คนแบบนี้มีอยู่พวกเดียวเลย พวกไม่มีการศึกษา!]
[คำถามคือ…คนโพสต์ใช้สมองส่วนไหนคิด? ไร้การศึกษาที่สุด!]
[ฉันให้กำเนิดคนโพสต์โดยไม่ได้ตั้งใจ ต้องขอโทษทุกคนด้วย…]
[…]
ท้ายที่สุดแล้ว โพสต์เหล่านั้นก็หายไป
ไม่รู้ว่าถูกลบโดยผู้ดูแลระบบหรือตัวคนโพสต์เองที่เห็นว่าประโยคเหล่านั้นกำลังสร้างความไม่พอใจต่อสาธารณะ จนต้องรีบลบทิ้ง
แต่มันก็คือข้อเท็จจริงที่บอกได้ว่า แม้ว่าคนทั่วทั้งประเทศจะชอบ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนเสมอไป
บางคนเลือกที่จะไม่รับรู้อะไร
และบางคนก็ไม่ได้สนใจวิชาการขนาดนั้น
ตัวอย่างเช่น หวังไห่เฟิงอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น
ข่าวที่ลู่โจวได้คว้ารางวัลโนเบลมาครองน่าจะเป็นเหมือนข่าวร้ายสำหรับเขา
ทันทีที่เดินไปยังมหาวิทยาลัย ทุกครั้งที่เขาได้ยินว่านักศึกษาปริญญาตรีรู้สึกตื่นเต้นกับรางวัลโนเบลสาขาเคมี หัวใจของเขาก็ลุกโชนดั่งเปลวไฟ
ถึงอย่างไร ดูเหมือนเขาจะไม่มีอิทธิพลอะไรต่อโลกใบนี้เลย
หลังจากได้รับรางวัลวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากลู่โจว เขาก็ไม่ได้คุยอะไรกับลู่โจวอีก ไม่ต้องพูดถึงรางวัลโนเบลเลยด้วยซ้ำ
ในอาคารห้องปฏิบัติการเคมีที่มหาวิทยาลัยจื่อ…
หวังไห่เฟิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานมองไปยังหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ “รู้หรือเปล่าว่าลู่โจวจะกลับมาจีนไหม?”
“กลับมาจีน?” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นักวิชาการหลิวก็เผยยิ้ม “ครอบครัวเขาอยู่ที่นี่ บ้านก็อยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว ถ้าเขาไม่กลับมา นายจะไปหาที่นั่นหรือยังไงกัน?”
“ว่าไงนะครับ? ผมพูดถึงเรื่องกลับมาจีน ปีใหม่เกี่ยวอะไรกันด้วย?!”
“ฉันรู้ว่านายอยากจะพูดอะไร แต่ฉันก็แค่ขี้เกียจตอบ” หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าเขาจะกลับมาหรือไม่ นายจะไปทำอะไรได้?”
หวังไห่เฟิงรู้สึกกังวล “แต่…อาจารย์คิดว่าเขาจะกลับมาไหม? อาจารย์ก็เห็นแล้วที่งานสัมมนา ทั้งเรื่องแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์ แล้วก็…”
นักวิชาการหลิวมองไปที่หวังไห่เฟิง “จะดีหรือไม่ดี คนตัดสินใจก็ไม่ใช่นายกับฉันอยู่แล้ว”
หวังไห่เฟิงรู้สึกชะงักทันทีที่ได้ยิน
ไม่ช้า หัวใจของเขาก็เหมือนกับไร้พลัง
อย่างที่นักวิชาการหลิวพูด นอกเหนือจากลู่โจว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมาตัดสินได้
ไม่ว่าจะมีอิทธิพลหรือไม่ก็ตาม ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเอาไปเปรียบเทียบได้
ส่วนเบื้องหลังนั้น…
ความแตกต่างระหว่างผู้ชายคนนี้กับผู้ชายที่ควบคุมโลกแห่งการศึกษาน่าจะเป็นประสบการณ์ที่สะสมมา เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่นอกสถาบันเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นรองทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นชุมชนวิชาการ หรือชุมชนวัฒนธรรม ตราบใดที่ชุมชนนี้ยังอยู่ในประเทศจีน ไม่มีอะไรที่จะทำให้หวังไห่เฟิงสามารถเอาชนะลู่โจวได้เลย
“ไม่ว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำ ถ้าจับหนูได้ มันก็คือแมวที่ดี แท้จริงแล้ว เขาทำสำเร็จแล้ว นี่ถือเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยอมรับ” นักวิชาการหลิวที่กำลังมองไปยังอดีตนักเรียนกล่าวออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักถึงบางอย่าง
จากนั้น เขาก็กล่าวต่อ “อ่า ฉันจะบอกอะไรเอาไว้อย่างหนึ่ง”
หวังไห่เฟิงถอนหายใจเล็กน้อย “อะไรเหรอครับ?”
“รู้จักหม่าฉางอานไหม?”
หวังไห่เฟิงขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุด เขาก็ส่ายหัว
“ไม่ครับ”
นักวิชาการหลิวเผยยิ้ม “ถ้าไม่รู้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เขาเป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์น่ะ”
ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์?
หวังไห่เฟิงขมวดคิ้วงุนงง ทำไมนักวิชาการหลิวถึงพูดถึงคนนอกกัน?
ถึงกระนั้น ช่องว่างระหว่างคณิตศาสตร์และวัสดุศาสตร์ยังห่างชั้นกันเกินไป
ระหว่างที่นักวิชาการหลิวมองไปยังหวังไห่เฟิงที่กำลังสับสน เขาก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น่าจะช่วงครึ่งเดือนหลังจากสิ้นสุดการประชุมนักคณิตศาสตร์นานาชาติ เขาก็ต้องพบเจอกับปัญหาด้านเงินทุนในการวิจัย จากนั้น ก็ถูกมหาวิทยาลัยออโรร่าไล่ออกเลยล่ะ”
“ปัญหาเรื่องเงินทุน?” หวังไห่เฟิงไม่เข้าใจ “เขาไปทำให้คนอื่นคับแค้นใจอะไรหรือเปล่าครับ?”
การจัดการเงินทุนวิจัยทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างเข้มงวด มันดูจะน่ากลัวมากเกินไปจนถึงจุดที่จะทำให้ผู้คนโกรธแค้นได้ ความเป็นไปได้ที่จะไม่มีปัญหาด้านเงินทุนนั้นมีน้อยมาก เว้นแต่จะมีใครบางคนที่ยากจนมากหรือไม่ก็ขี้โกงมาก… อีกอย่าง ก็คงมีศาสตราจารย์ไม่มากหรอกที่จะโง่พอที่จะขโมยเงินจากกองทุนไปได้
เว้นแต่…
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เกิดขึ้นในอดีต
นักวิชาการหลิวเผยยิ้ม “ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ใครกำลังขุ่นเคืองอยู่ แต่สถานการณ์ของหม่าฉางอานถือเป็นกรณีพิเศษ ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องมากหรอกนะ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ…นายคิดว่าใครเป็นคนสอนหม่าฉางอานล่ะ?”
“ผมเดาไม่ออกเลยครับ”
นักวิชาการหลิวเผยยิ้มอีกครั้ง “ชายชราคนนี้เป็นถึงตำนานในแวดวงคณิตศาสตร์เลยนะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หวังไห่เฟิงถึงกับตกใจไม่น้อย
ชายชรา?
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจโลกคณิตศาสตร์ และใช้เวลาอยู่ในแวดวงวิชาการมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ยังรู้เรื่องคณิตศาสตร์อยู่เล็กน้อย
และชายชราคนนั้นต้องเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่มหาวิทยาลัยออโรร่าแน่
แม้ว่าเขาจะจากไปหกปีแล้ว แต่เขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหม่าฉางอานเป็นใครก็เถอะ
หวังไห่เฟิงเกรงว่าคนที่เขาทำให้ขุ่นเคืองจะเป็นคนที่ได้รับรางวัลเหรียญฟีลด์…
เมื่อลองคิดดูแล้ว หวังไห่เฟิงก็รู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย
“ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่านายกับลู่โจวคับข้องใจอะไรกัน หวังว่านายคงไม่คิดทำอะไรโง่ ๆ ล่ะ” นักวิชาการหลิวมองไปยังหวังไห่เฟิงที่พูดอะไรไม่ออก จากนั้น เขาก็พลันวางถ้วยชาลง
………………………………………