ตอนที่ 465 การกล่าวคำปราศรัยสำหรับรางวัลโนเบล (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ระวังไว้หน่อยแล้วกัน”
คำพูดของอดีตที่ปรึกษาทำให้หวังไห่เฟิงเผยหน้าซีด
ด้วยเหตุนี้ เขาเดินออกจากมาสำนักงานราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ถูกมัดด้วยเชือก
ทุกครั้งที่นึกถึงดวงตาที่แฝงคำใบ้ของนักวิชาการหลิว หวังไห่เฟิงก็ตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตนนั้นอันตรายเพียงใด
อาจเป็นเพราะลู่โจวยังเด็กเกินไป แม้จะอายุน้อยกว่า แต่หวังไห่เฟิงเกือบจะลืมกฎของวิชาการไปแล้ว
โชคดีอย่างเดียวคือลู่โจวไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร
มิฉะนั้น ลู่โจวก็จะสามารถทำลายเขาได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกโชคดีที่ศัตรูไม่ได้สนใจตัวเองเลย…
…
แต่แท้จริงแล้ว หวังไห่เฟิงก็ยังคงประเมินตัวเองสูงเกินไป
ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งสุดท้ายที่ลู่โจวได้พบกับเขาในงานเลี้ยง เขาก็จำชายคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตามกระบวนการมอบรางวัลโนเบล หลังอาหารค่ำจบลง ก็จะมีการกล่าวคำปราศรัยในวันรุ่งขึ้น
เวลาประมาณสิบสี่นาฬิกา ณ เขตตะวันออก ลู่โจวได้มายังห้องโถงบรรยายของราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน และมีการกล่าวสุนทรพจน์สามสิบนาทีในหัวข้อ “ความลึกลับของตัวเลขเชิงเศรษฐศาสตร์จุลภาค”
เมื่อมาถึง ทั้งห้องเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งมากกว่างานเลี้ยงอาหารค่ำอีก ทว่า ก็ไม่มีใครบ่นอะไร
ไม่เพียงแค่นักวิชาการที่มาจากทั่วทุกมุมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม สถาบันเทคโนโลยี KTH และแม้แต่ประชาชนในท้องถิ่นบางคนที่สนใจวิทยาศาสตร์
สรุปคือจุดประสงค์ของการกล่าวคำปราศรัยเพื่อให้นักวิชาการในสาขาอุตสาหกรรมและสาขาอื่นเข้าใจว่า ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลทำอะไรสำเร็จไปแล้ว หรือกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความหมายของงานที่ทำ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร และมีความหมายอย่างไรต่อโลกใบนี้
มันพูดง่าย แต่ทำยาก
ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ การพัฒนาทางด้านวิชาการได้เปลี่ยนจากการเติบโตที่ป่าเถื่อนไปสู่การขัดเกลาที่ดีขึ้น
การชี้แนะทางด้านสาขาเคมีเองก็ไม่ได้จำเป็นถึงเพียงนั้น บางครั้งนักวิชาการด้านชีวเคมีก็อาจไม่เข้าใจเรื่องบางเรื่องได้
อีกทั้ง ข้อบังคับก็เหมือนกัน
ในรายงาน ลู่โจวไม่ได้ใช้สูตรที่ยากเกินกว่าจะอธิบายข้อโต้แย้งของเขาเอง เขาเพียงแค่พูดถึงปัญหาที่พบในระหว่างศึกษาเรื่อง HCS-2 และปรากฏการณ์ที่ผิดปกติบางอย่างเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ภาษาที่ชวนหลงใหล แต่ผู้ชมตรงหน้าก็กระตือรือร้นที่จะรับฟังเป็นพิเศษ
ในแง่หนึ่ง มันเป็นเหมือนการไม่เคารพรางวัลโนเบล
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นเหมือนคลังความรู้ที่ได้รับจากรางวัลโนเบล…
นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยากจนและเชี่ยวชาญได้เพียงด้านเดียว
การสร้างความก้าวหน้าทีละเล็กทีละน้อยไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดความผิดหวัง
แท้จริงแล้ว วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังก้าวหน้าจากการสั่งสมในครั้งนี้ในฐานะนักวิชาการ
ถึงอย่างไร กฎนี้ก็ใช้ได้กับคนทั่วไปเท่านั้น
สำหรับลู่โจวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานทางทฤษฎีของเคมีไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ลิเธียมซัลไฟต์ที่จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ ปัญหาเหล่านี้จำต้องใช้คนจำนวนมากในการแก้ไข แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเขาคนเดียวที่แก้ไขมัน…
ในไม่ช้า คำปราศรัยก็สิ้นสุดลง ลู่โจวหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดสรุปต่อว่า
“ผมจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือการทดลอง ผมได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายสิบหรือไม่ก็หลายร้อยครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ในสาขานี้ พวกคุณเองก็ได้รับรู้ถึงความพยายามของผมแล้ว”
“สำหรับผม เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ก็เหมือนกับการสร้างมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ มันทำให้เรามองข้ามประสบการณ์ที่เคยประสบพบเจอมา อีกทั้งยังช่วยให้ได้กำหนดและยืนหยัดในมุมมองหรือปรากฏการณ์ที่เราไม่เข้าใจได้อีกด้วย”
“อะไรล่ะคือวิทยาศาสตร์?”
ระหว่างที่ผู้ชมกำลังตั้งใจฟัง ลู่โจวก็พูดต่อ
“ในความคิดของผม มันเป็นการวิเคราะห์และคิดอย่างมีเหตุผลและตรรกะในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ มันเป็นคำตอบสำหรับคนที่ไม่รู้!”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง
ผู้ชมจำนวนมากต่างลุกขึ้นยืนและแสดงความเคารพ
ลู่โจวโค้งคำนับเล็กน้อยและเดินลงจากเวทีไป
…
บริเวณนอกห้องโถง ณ ทางเดินของราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนภายใต้การนำของชายชาวจีนวัยกลางคน มีนักวิชาการสวมสูทหลายคนยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อลู่โจวออกจากห้องบรรยาย ชายวัยกลางคนก็กะพริบตาพร้อมยิ้มทักทาย
“คำพูดและการใช้ภาษาของคุณทำให้เราประทับใจไม่น้อยเลย!”
ทันทีที่ได้ยินคำชมที่คาดไม่ถึงนั้น ลู่โจวก็มองไปยังชายคนนั้นพร้อมพยักหน้า “ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณเป็นใครกัน?”
ชายคนนั้นเผยยิ้มพร้อมยื่นมือขวาออกมา “ผมชื่อจางเหวินปิน เป็นเอกอัครราชทูตจีนที่ประจำอยู่ที่สวีเดน”
เอกอัครราชทูตจีน?
ลู่โจวพลันจับมือกับผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิดพร้อมเผยยิ้ม “งั้นขอเรียกว่าคุณก็แล้วกัน”
“โชคดีที่ได้พบคุณที่นี่นะครับ” ทั้งคู่พลันเขย่ามือ
เอกอัครราชทูตจางเหวินปินเผยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนะศาสตราจารย์! ถือเป็นเกียรติมากที่ได้ฟังคุณพูดบนเวที เราชาวจีนทุกคนและวงการวิทยาศาสตร์ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
“คุณก็พูดเกินไป” ลู่โจวเผยยิ้ม “ยังมีนักวิชาการที่โดดเด่นอีกมากมายในแวดวงวิชาการของจีน รางวัลโนเบลก็เป็นเพียงไอซิ่งบนเค้กเท่านั้นแหละครับ”
“คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้ารางวัลโนเบลเป็นเหมือนไอซิ่งบนเค้ก งั้นมันก็คงไม่มีค่าให้ยกย่องหรอก” เอกอัครราชทูตจางเหวินปินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “ผมขอถามได้ไหมว่าคุณเตรียมตัวหรือจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไรบ้างหลังจากการเดินทางไปสตอกโฮล์ม?”
ลู่โจวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่พร้อมกล่าวคำพูดออกไป “ผมน่าจะไปฝรั่งเศสต่อ”
“ฝรั่งเศส?”
ลู่โจวเผยยิ้มและพูดต่อ “ใช่ครับ ผมต้องไปรับรางวัลอีกน่ะ”
ต้องไปรับรางวัล…
ผู้ชายคนนี้…
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเจ้าหน้าที่สถานทูตหลายคนก็เปลี่ยนไป
แม้กระทั่งจางเหวินปินเองก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้น
แต่ในไม่ช้า เขาก็พลันกระแอมและปกปิดความดีใจอย่างเร็ว
“ผมคิดมาเสมอว่าการได้รับความช่วยเหลือที่ดีนั้นมีแค่ในโลกของกีฬา ผมไม่ได้คาดหวังเลยว่าโลกแห่งวิชาการจะเป็นแบบนั้นด้วย คุณเป็นคนที่น่าประหลาดใจไม่น้อยเลยนะ”
ลู่โจวเขินเกินกว่าจะยิ้มออกมา “ก็ประมาณแหละครับ”
ถ้านับรางวัลเหรียญฟีลด์ด้วย ลู่โจวก็ได้รับรางวัลมาอย่างเยอะแยะมากมายแล้ว
ไม่นานนัก เอกอัครราชทูตจางเหวินปินก็ถามต่อ “แล้วหลังจากไปที่ฝรั่งเศสล่ะ?”
ลู่โจวครุ่นคิดสักพักพร้อมบอกว่าก็คงไม่มีอะไรอีกแล้ว จากนั้น เขาก็พูดต่อ “ผมคงกลับบ้านช่วงปีใหม่ หลังจากนั้นก็คงไม่มีอะไรให้จัดการแล้วครับ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นคำพูดของลู่โจว ใบหน้าของเอกอัครราชทูตจางเหวินปินก็แจ่มใสขึ้นมาทันใด เขาเผยยิ้มอีกครั้ง
“งั้นก่อนกลับบ้าน คุณช่วยไปปักกิ่งหน่อยได้ไหมครับ?”
“ไปปักกิ่งเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว” เอกอัครราชทูตจางเหวินปินเผยยิ้มกว้าง “มีคนต้องการเจอคุณที่นั่น”
…………………………………………