ตอนที่ 479 ซื้อบ้าน (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
นักเรียนของเขากำลังยืนอยู่บนเวที
หลังผ้าม่านนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและเกียรติยศของเธอ
นอกเหนือจากคะแนนเต็มสิบในสาขาวิชาหลักแล้ว เธอยังได้อันดับหนึ่งในภาควิชาเคมีประยุกต์อีกด้วย
ไม่เพียงแต่มีดีในด้านผลการเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และประสบการณ์การฝึกงานกว่าสิบสองเดือนที่สถาบันวัสดุคำนวณอีกด้วย
แม้ว่าคะแนนในด้านระเบียบวินัยของเธอนั้นจะด้อยกว่าเด็กนักเรียนที่ได้รับรางวัลคนอื่น แต่คะแนนงานวิจัยของเธอก็ถือได้ว่าอยู่ในอันดับหนึ่ง
วิทยานิพนธ์สองฉบับของ SCI นั้นหมายถึงอะไร?
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับนักศึกษาปริญญาโทหรือปริญญาเอก แต่สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย
ระหว่างเสียงปรบมือที่ดังสนั่น เธอรีบยื่นมือออกไปรับใบประกาศนียบัตรจากลู่โจว หานเมิ่งฉีพลันเดาะลิ้น
“อาจารย์คะ…”
“มีอะไรเหรอ?”
“อาจารย์จะเปิดสอนวิจัยระดับปริญญาโทไหมคะ?”
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลอย่างลู่โจวจะสอนวิจัยในระดับปริญญาโทไหม?
ไม่ต้องพูดถึงนักวิชาการที่ได้รางวัลโนเบลเลย เพราะแม้แต่นักวิชาการบางคนก็ยังคงขี้เกียจเกินกว่าที่จะสอนวิจัยในระดับชั้นนี้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก พวกเขาก็คงไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
เมื่อลองคิดดูว่าลู่โจวต้องผ่านอะไรมาบ้างจนกว่าจะได้ขนาดนี้ เธอก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
แต่ทันใดนั้น เธอก็เริ่มรู้สึกผิดที่ถามออกไปแบบนั้น
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ลู่โจวก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“อันที่จริง น่าจะปีนี้แหละ ฉันวางแผนไว้ว่าจะกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยจินหลิงด้วย”
หลังจากหยุดคิดชั่วครู่ เขาก็พูดต่อ
“ถ้าเป็นตอนนั้น ฉันอาจจะเปิดสาขาวิชาวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ ถ้าเธอสนใจที่จะทำวิจัย ก็มาบอกฉันได้นะ”
ความสามารถของหานเมิ่งฉีนั้นยอดเยี่ยมไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ เธอรู้สึกว่าลู่โจวจะต้องเป็นอาจารย์ฝึกสอนที่ดีมากแน่
การได้รับความก้าวหน้าของหลักสูตรและสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจินหลิงด้วยระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทั่วไป
แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว ลู่โจวก็ยังคงรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ได้เก่งไปมากกว่าเธอเสียเท่าไหร่
ถึงกระนั้นก่อนที่ความสามารถจะถูกยกระดับโดยระบบ เขาก็อาจจะมีความสามารถอื่นด้วยก็ได้ ซึ่งมันก็คงเป็นสิ่งที่แตกต่างกับอัจฉริยะ
เหตุผลที่บุคคลหนึ่งสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจินหลิงได้ ทั้งทีจบมาจากโรงเรียนมัธยมธรรมดานั้นไม่เพียงแค่ต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากเท่านั้น แต่มันต้องพึ่งปัจจัยอื่นด้วย
สำหรับความคิดที่ว่าผู้หญิงนั้นไม่เหมาะกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ลู่โจวเองก็ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้เหมือนกัน
ทั้งนี้สถาบันพรินซ์ตันเองก็ยังคงมีนักวิจัยหญิงจำนวนมากที่มีความโดดเด่นและมีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นดอกเตอร์หยานที่เป็นที่รู้จักกันมากในประเทศจีน หรือวีร่าที่ปรึกษาของโมลินา
ทันทีที่ได้ยินลู่โจวกล่าวเช่นนั้น ความลำบากใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ จากนั้นก็กลายเป็นความตื่นเต้น
ระหว่างถือใบประกาศนียบัตรในมือ น้ำเสียงของหานเมิ่งฉีนั้นฟังดูตกใจไม่น้อย เธอคิดว่าตนหูแว่วไปเอง
“จริงเหรอคะ?”
ลู่โจวเผยยิ้มและพยักหน้า
“ใช่แล้ว”
“ยังไงก็เถอะ ก่อนจะมีการจัดสอบเข้ามหาวิทยาลัย ค่อยนัดกันนะ”
ณ ใต้เวที
เมื่อเห็นหานเมิ่งฉีเผยหน้าแดง หญิงสาวสามคนก็หันหน้าเข้าหากัน
เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นในหอประชุม ทุกคนดูท่าทางแปลกไป ไม่นานนัก หลี่ฟางก็กล่าวคำพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกัน? เธอเขินอะไรน่ะ?”
ระหว่างที่เสียงปรบมือค่อย ๆ เงียบลง ซู่เจียเหวินก็กล่าวเสริม “เธอคิดไม่ผิดหรอก”
“เธอรู้จักกับอาจารย์ลู่หรือยังไงกัน?” หลัวเมิ่งกล่าว
“เป็นไปได้ไง? ศาสตราจารย์ที่มาจากสถาบันพรินซ์ตันมีตั้งหลายคน” หลี่ฟางกล่าวออกมาโดยไม่ลังเล
“ก็ลองดูท่าทีของเธอสิ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งคู่รู้จักกันเลยนะ” หลัวเมิ่งรู้สึกสงสัย
“คิดแบบนั้นเหรอ?” หลี่ฟางกล่าวถามกลับ
“เมิ่งฉีได้ส่งวิจัยวิทยาศาสตร์อะไรให้อาจารย์ลู่หรือเปล่า? หรืออาจารย์ลู่โจวเป็นผู้ตรวจทานวิยจัยของเมิ่งฉี? ลองมาคิดดูแล้วนะ เรื่องโครงการฝึกงานระดับปริญญาตรีของสาขาเคมี เมิ่งฉีได้เข้าร่วมด้วยไหมน่ะ? เพราะสถานที่ฝึกงานก็คือสถาบันวัสดุคำนวณ แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าศาสตราจารย์ลู่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันนี้ มันจะเป็นไปได้ไหมนะ?” หลัวเมิ่งกล่าว เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดถูกหรือคิดผิด เพราะดูเหมือนเธอจะกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาโดยอัตโนมัติ
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ซู่เจียเหวินพลันรู้สึกผิดที่คิดเช่นนั้น แต่ทว่า เธอก็ถอนหายใจพร้อมกล่าวคำพูดออกมาอีกครั้ง “ฉันว่าเธออ่านนิยายเยอะเกินไปแล้วนะ…”
…
หลังจากพิธีมอบรางวัลนักเรียนประจำปี ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยจินหลิงก็กลับมาสงบดังเดิม
ในตอนนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ วันเวลาเริ่มผ่านไป อีกทั้งจำนวนนักเรียนก็เริ่มน้อยลง ความสงบเงียบนี้แทบจะเรียกว่าร้างเลยก็ว่าได้
ถ้าหากเทียบกับความสงบของมหาวิทยาลัยจินหลิงแล้ว สถาบันวิจัยชั้นสูงก็เรียกได้ว่ากำลังร้อนระอุเลยทีเดียว
ในขณะที่นักวิจัยแต่ละคนรับรู้หน้าที่และตำแหน่งของตนเอง ตารางการทดลองก็ได้ถูกกำหนดไว้ในวาระการประชุมเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน ลู่โจวก็เริ่มเบื่อโรงแรมแล้ว เขาจึงโทรหาหวังเผิงให้ขับรถพาไปส่งที่สำนักงานขายบ้าน
ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่มองไปยังรถที่เข้ามาจอดหน้าสำนักงานและเมื่อเห็นคนขับ ดวงตาของพนักงานขายก็เบิกกว้าง เขาตระหนักได้ว่าลูกค้าของตนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ในไม่ช้าเขาก็รีบวิ่งไปที่รถ
หวังซือหลันเผยยิ้มแบบมืออาชีพพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”
ลู่โจวนั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบโบรชัวร์บนโต๊ะขึ้นมาพลิกดู “ผมอยากจะซื้อบ้านสักหลัง มีที่ไหนแนะนำบ้าง?”
“คุณวางแผนที่จะอยู่เองหรือลงทุนครับ?”
“อยู่เองครับ” ลู่โจวเงยหน้าพร้อมมองไปยังรูปภาพบนผนัง “ขอเป็นบ้านที่สร้างเสร็จแล้วได้ไหม? ขอแบบสงบด้วย ผมไม่อยากรอนานน่ะ”
ในตอนนั้นเอง เขาก็ตระหนักถึงบางอย่างจึงกล่าวเสริมออกไป
“อ่า ใช่ ขอเป็นบ้านเดี่ยวนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังซือหลันก็เผยท่าทีสุดตื่นเต้น เขารีบนั่งลงและให้คำแนะนำแก่ลู่โจว
“คุณวางแผนที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว”
“งั้นผมขอแนะนำเป็นบ้านพักสวนกุหลาบแห่งนี้เลย ตัวอาคารหลักทำจากหินปูนเยอรมัน มีทั้งสไตล์โมเดิร์นมินิมอลและสไตล์ยุโรปคลาสสิก อีกทั้งยังมีพื้นที่โล่งและสะดวกสบาย…”
ลู่โจวรู้สึกค่อนข้างดีทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“แล้วบ้านหลังนี้มีพื้นที่เท่าไหร่?”
“พื้นที่ตัวบ้านก็ประมาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยตารางเมตร พื้นที่ลานกว้างประมาณสองพันหกร้อยตารางเมตร พร้อมด้วยสนามหญ้าและสระว่ายน้ำ…”
เมื่อลู่โจวได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เอาไว้จอดเฮลิคอปเตอร์หรือไงกัน? เขาจะซื้อสนามหญ้าที่ใหญ่เช่นนี้ไปทำไม? หรือว่าเขาจะเล่นกอล์ฟ? แต่ก็คงไม่ใช่แบบนั้น…
“ผมว่ามันใหญ่เกินไป ขอแค่ประมาณร้อยกว่าตารางเมตรก็พอแล้ว ขอเป็นที่ที่เดินทางสะดวกด้วยนะ แล้วก็ใกล้มหาวิทยาลัยดีกว่า…”
“คุณอยู่คนเดียวเหรอครับ?” พนักงานถามด้วยท่าทีประหลาดใจ
“ไม่ได้หรือยังไงกัน?”
“โอเคครับ” หวังซือหลันเปลี่ยนไปหน้าอื่น “นี่ครับ บ้านพักหลังนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของหุบเขาสีม่วง มันจะต้องตรงตามที่คุณต้องการแน่นอน มีพื้นที่ประมาณห้าร้อยกว่าตารางเมตรพร้อมสนามหน้าบ้านและโรงจอดรถ อีกทั้ง ถัดไปทางตะวันออกก็จะเป็นมหาวิทยาลัยและสวนสาธารณะไฮเทค”
หลังนี้ก็ไม่เลวนะ
เขาพลิกดูรูปถ่ายทั้งภายในและภายนอกของบ้านพักหลังนี้ ลู่โจวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขาค่อนข้างพอใจไม่น้อย
“หลังนี้เท่าไหร่ล่ะ?”
“ราคาจะอยู่ที่ประมาณเจ็ดหมื่นดอลลาร์ครับ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือประมาณสี่สิบล้านหยวน
ลู่โจวรีบลุกขึ้นจากโซฟาและปิดโบรชัวร์
“งั้นผมขอไปดูบ้านหลังนี้หน่อยก็แล้วกัน”
………………………………………………………