ตอนที่ 480 อัตราความสำเร็จของการทดลอง (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ย่านชานเมืองมีชื่อว่า “Zhongshan International” หรือที่เรียกว่า “ชานเมืองจินหลิงที่ร่ำรวยในตำนาน”
ลู่โจวจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องนี้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เขาจำไม่ได้ว่าใครเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ชานเมืองทั้งหมดเต็มไปด้วยคฤหาสน์และตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ทิวทัศน์ระดับประเทศ ที่ดินทั้งหมดมีเนื้อที่ประมาณสามพันห้าร้อยกว่าไร่ โดยมีอัตราส่วนต่อที่ดินเพียงศูนย์จุดหนึ่งหกแปด มีทั้งสนามกอล์ฟและห้างสรรพสินค้าครบวงจรในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
ถึงกระนั้นลู่ โจวก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากนัก เพราะเขาไม่ได้สนใจในเรื่องการตีกอล์ฟหรือซื้อของอะไรอยู่แล้ว
ตราบใดที่ยังมีบ้านให้พักอาศัยและสิ่งแวดล้อมที่ปลอดโปร่ง แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
“หลังนี้ไม่เลวเลยนี่”
ลู่โจวพลันเอื้อมมือไปแตะชั้นหนังสือและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
หวังเผิงที่เดินไปด้านข้างเพื่อตรวจดูหน้าต่างชี้ไปที่ต้นไม้สองต้นด้านนอกพร้อมกล่าวคำพูดขึ้น
“ต้นไม้ทั้งสองต้นนั้นบังวิวหมดเลย”
ลู่โจวเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันว่ามันก็ดีนะ”
หากต้นไม้ทั้งสองถูกตัดออกไป ทั้งสนามหน้าบ้านก็จะดูโล่งและเผยให้เห็นความสวยงามโดยรวม
หวังเผิงพลันชี้นิ้ว “มันเป็นเหมือนจุดบอดตรงกำแพงเลยนะ แล้วถ้าฉันก้าวเข้าไปตรงนั้นและเดินไปตามกำแพง ฉันไม่ต้องก้มหัวเลยด้วยซ้ำ นายเองก็จะมองไม่เห็นฉันเลยแหละ เชื่อไหมล่ะ?”
หวังซือหลันขมวดคิ้วและกล่าวอย่างสุภาพ “เอ่อ… ในหมู่บ้านแห่งนี้มีทีมรักษาความปลอดภัยมืออาชีพอยู่ โจรไม่สามารถเข้ามาได้เลยครับ ผมรับประกันได้ ไม่ต้องห่วงครับ”
หวังเผิงเลิกคิ้วด้วยความสนใจ “มืออาชีพกว่าฉันหรือเปล่าล่ะ?”
หวังซือหลันไม่รู้ว่าจะพูดต่อด้วยคำว่าอะไร
อะไรคือคำว่า “มืออาชีพกว่าคุณหรือเปล่า?”
การที่จะเป็นโจรมืออาชีพมันยากไหมนะ?
ลู่โจวกระแอมพร้อมเปลี่ยนประเด็น “ไม่ต้องห่วงเรื่องต้นไม้สองต้นนั้นหรอก เดี๋ยวฉันเอากล้องวงจรไปติดตรงนั้นเอง”
พูดตามตรง ลู่โจวไม่ใช่คนที่มีความลับอะไรหรือมีส่วนร่วมในการวิจัยอาวุธ เพราะฉะนั้น ข้อมูลอะไรที่สำคัญ เขาจะไม่ทิ้งไว้ที่บ้านแน่นอน แม้ว่าเขาต้องระวังตัว แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องระแวงมากเกินไป
ทั้งนี้ อาจจะยังไม่มีนักวิชาการคนใดในโลกที่เชี่ยวชาญในหลายสาขาการวิจัยแบบลู่โจว แต่มันก็ยังมีบางคนที่เก่งกว่าเขา แม้แต่สถาบันพรินซ์ตันก็มีเพียงไม่กี่คน และบางคนนั้นก็เก่งแค่ในทางทฤษฎี
แล้วในอนาคตล่ะ?
ส่วนเรื่องในอนาคต เอาไว้พูดถึงทีหลังก็แล้วกัน
หลังจากย้ายเข้ามาในบ้านหลังใหม่แล้ว ลู่โจวก็คิดไว้ว่าจะติดตั้งระบบสังเกตการณ์สำหรับครอบครัว เขาจะใช้โดรนสักสองถึงสามตัวเพื่อรักษาความปลอดภัย จากนั้นก็จะส่งมอบหน้าที่นี้ให้กับเสี่ยวไอ
แม้ว่าจะมีต้นไม้ทั้งสองอยู่ตรงนั้น แต่ลู่โจวก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครแทรกตัวเข้ามาได้
หวังเผิงเผยสีหน้าหมดหนทาง
“ฉันก็แค่แนะนำ… แต่ไม่เป็นไร ยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับนายอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นลู่โจวก็เดินไปปิดหน้าต่างพร้อมกล่าวว่า “ฉันชอบบ้านหลังนี้มากเลยล่ะ ต้องเป็นหลังนี้เท่านั้น”
…
ในระหว่างที่ลู่โจวกำลังดูบ้านอยู่ โฮ่วจินลี่ที่เพิ่งจะเข้าร่วมสถาบันการศึกษาขั้นสูงจินหลิงก็ต้องการหาห้องพักเช่นเดียวกัน
หลังจากออกมาจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะมาลงเอยที่นี่ และเมื่อมองไปที่ห้องใหม่ของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ โฮ่วจินลี่ที่กำลังถือกระเป๋าเดินทางก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ถึงกระนั้นความรู้สึกก็ดูจะไม่เลวร้ายอะไร
ไม่เลวร้ายเลย…
เมื่อนึกถึงความมุ่งมั่นของสถาบันในการแบ่งพื้นที่ ความตื่นเต้นก็เริ่มลดลงเล็กน้อย เพราะอย่างไรแล้วราคาเฉลี่ยของบ้านในระแวกนี้ก็ราคาประมาณสามหมื่นเหรียญหรือสูงกว่า
ตราบใดที่คุณทำงานครบหนึ่งปี คุณก็จะสามารถพักอยู่ที่นี่ได้เลย และถ้าคุณทำงานครบแปดปี คุณก็สามารถย้ายมาอยู่ได้เช่นกัน สภาพบ้านพักที่ดีเช่นนี้ค่อนข้างหายากสำหรับสถาบันวิจัยในประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสถาบันวิจัยสาขาวัสดุคำนวณ
แน่นอนสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือการที่จะได้เข้าไปอยู่ในห้องทดลองวันพรุ่งนี้
อย่าบอกว่าคุณไม่ตื่นเต้น ถ้าเปรียบก็คงกล่าวได้ว่า ถึงแม้คุณจะไม่มีเงินติดตัวเลย คุณก็ยังจำเป็นต้องไปที่นั่น
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสถาบันชั้นนำ แต่ทว่าคุ ณค่าในแต่ละที่ก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว
ลู่โจวใช้เวลาครึ่งวันในการย้ายไปบ้านใหม่ ส่วนโฮ่วจินลี่ก็ใช้เวลาคืนแรกในหอพัก
เขาได้มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่อย่างเต็มตัว
ในวันแรกของการทำงาน โฮ่วจินลี่ได้นั่งแท็กซี่ไปยังทางเข้าของสถาบันและไปต่อที่สถาบันวัสดุคำนวณที่อยู่ลึกเข้าไปอีก
จากประตูทางเข้าหลักของสถาบัน เขาก็ยังต้องไปที่อาคารอีกแห่งเพื่อแสกนหน้าด้วย
ผู้คนมักจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมในสถาบันวิจัยมากเท่าไหร่นัก และสำหรับการรายงานเมื่อวานนี้ นักวิจัยทุกคนก็ได้รับมอบหมายหน้าที่และตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่า โฮ่วจินลี่ไม่จำเป็นต้องทำความรู้สึกคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เลย เพราะก่อนที่จะมาถึง เขาได้ทำงานวิจัยที่คล้ายกันมาก่อนแล้ว ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับวัสดุนาโนคาร์บอน
สำหรับโฮ่วจินลี่ มันก็เหมือนกับแค่ได้เปลี่ยนสถานที่ทำการทดลองก็เท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำความคุ้นชินก็คือสารเคมีและตําแหน่งของเครื่องมือต่าง ๆสำหรับการทดลองงานในวันนี้โฮ่วจินลี่ได้ทำการแทนที่สารเคมีสีขาวที่มีผลต้านการเกิดประจุไฟฟ้าสถิตด้วยผงกราไฟท์แบบตาข่ายที่มีน้ำหนักกว่าสิบกรัม จากนั้นเขาก็นำไปผสมกับโซเดียมไนเตรตในอัตราส่วนสองต่อหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง หยู่ซุนที่เป็นเด็กฝึกงานพร้อมกับเขาก็รีบวิ่งออกมาจากห้องทดลองพร้อมกล่าวว่า
“เรากําลังจะทําตัวอย่างของตัวนำ SG-1 ใช่ไหม?”
โฮ่วจินลี่หยักหน้า “ใช่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าตัวอย่างของเราจะยังไม่พอ งั้นเราสังเคราะห์แกรฟีนด้วยวิธีการทางเคมีของแฮมเมอร์ดีไหม?”
“วิธีนั้นฉันลองไปสองสามครั้งแล้ว”
“งั้นมาช่วยกันตรงนี้หน่อย”
โดยทั่วไป นอกเหนือจากการเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นตัวยาและสารเคมีที่จําเป็นต้องใช้ในการทดลองสามารถหาซื้อได้จากสถาบันวิจัยเองหรือไม่ก็บริษัทอื่น
ถึงกระนั้นวัสดุตัวนำ SG-1 ก็ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งจะประกาศใช้เมื่อครั้งที่ประชุมฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา แม้ว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องและรายงานการทดลองจะสามารถตรวจดูได้ในฐานข้อมูล แต่ก็ยังไม่มีห้องทดลองแห่งไหนสร้างมันขึ้นมาได้
ทุกขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การเตรียมกราฟีนออกไซด์นั้นมีความสำคัญมาก
สำหรับวิธีการทางเคมีของแฮมเมอร์ที่เฉียนจ้งหมิงนำมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการเพิ่มด่างทับทิมถูกแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนในการทำปฏิกิริยา ซึ่งนั่นก็คืออุณหภูมิต่ำ อุณหภูมิปานกลางและอุณหภูมิสูง
เมื่อเติมด่างทับทิมเข้าไปในบางส่วนของอุณหภูมิ ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณยี่สิบองศาเซลเซียส การกวนจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
จากนั้น ก็ต้องเพิ่มอุณหภูมิเป็นสามสิบห้าองศาเซลเซียสและกวนต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง
ท้ายที่สุดแล้ว ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะถูกเทลงในน้ำที่ปราศจากไอออนเพื่อทำให้สารละลายมีสีเหลืองสด แล้วก็นำไปวางไว้ในหม้อทดลองที่อุณหภูมิเก้าสิบแปดองศาพร้อมกวนให้เข้ากันอีกครั้ง ขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องนำมาแช่ในกรดและล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นก็ตากจนแห้ง
หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คุณก็จะได้รับตัวอย่างที่มีสีน้ำตาลแดงอ่อน
แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็เป็นไปได้ว่าจะได้สีอื่นแทน
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นถือเป็นการทดสอบความสามารถของนักวิจัยเอง
หากคุณไม่ใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้ แม้จะได้ทำการทดลองแบบเดียวกัน มันก็เป็นไปได้ที่จะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาผิดพลาด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าหากคุณสามารถเข้าใจรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ คุณก็จะสามารถเป็นนักวิจัยที่ยอดเยี่ยมได้เลย
แต่สำหรับโฮ่วจินลี่แล้ว การทำอะไรเช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น
หลังจากหนึ่งปีในการทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขาได้ทำการทดลองแบบเดียวกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดต่างอยู่ในหัวของเขาอยู่แล้ว ทันใดนั้นเองดวงตาของหยู่ซุนก็เบิกกว้างขึ้น
แม้ว่าหยู่ซุนจะเคยเป็นนักวิจัยมาก่อน แต่ก็โชคร้ายที่เขามีหน้าที่แค่เขียนวิทยานิพนธ์…
หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมแกรฟีนออกไซด์แล้ว โฮ่วจินลี่ก็เริ่มเตรียมการต่อ
เขาได้ทำการปรับแต่งกราฟีนออกไซด์ด้วยการโด๊ปสารธาตุหมู่ห้าซึ่งมีวาเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ตัวเข้าไปด้วย
ตามวิธีการในรายงานการทดลอง…
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าขั้นตอนต่อไปคือกุญแจแห่งความสำเร็จ
ถึงกระนั้นมันก็น่าเสียดาย แม้ว่ารายงานการทดลองจะถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาก็ยังคงจริงจังกับการทดลองมากอยู่ดี ซึ่งการทำงานเช่นนั้นไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทั้งสองคือผงสีดำ…
เมื่อตระหนักว่าการทดสอบผิดพลาด ท่าทีของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป
“เราปรับแต่งเจ้านี่ใหม่ได้ไหม?”
“คงไม่ได้แล้วแหละ” โฮ่วจินลี่กล่าว
ถึงแม้ว่าการทดลองจะมีอัตราความสำเร็จ แต่มันก็สามารถผิดพลาดได้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามในเช้านี้ก็พังทลายลง…
โฮ่วจินลี่ถอนหายใจและใส่ตัวอย่างลงในถุงพลาสติกใบเล็ก
ระหว่างทางไปยังถังขยะ เขาบีบตัวอย่างสีดำจนแน่น
แต่เดิม เขาคิดว่าสิ่งนี้น่าจะต้องเป็นสีเทา และอนุภาคของมันจะต้องไม่แตกออก
เมื่อตระหนักได้ถึงความผิดพลาด เขาก็มองไปยังถุงพลาสติกและครุ่นคิด
สิ่งนี้ดูเหมือนจะ…
จัดการยากเกินไปสินะ?
……………………………………………